เขมานันทะ
ธรรมสาส์นชาวพุทธ เล่มที่ 4 ปี 2567
หินสลักพุทธประวัติช่วง ๓๐๐ – ๖๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งใช้สัญลักษณ์อันหนึ่งอันใดแทนทั้งองค์เจ้าชายสิทธัตถะและพระพุทธเจ้านั้น นับว่าเป็นงานศิลปะริเริ่มสร้างสรรค์สำคัญยิ่งเพราะเป็นทั้งจุดเริ่มต้นของพัฒนาการทางสุนทรีย์ตามแนวทางใหม่ในท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมโบราณของอินเดียที่สืบทอดต่อกันมานานนับเป็นพันๆ ปี ทั้งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถึงประวัติของบุคคลจริงกับประวัติพัฒนาการของการใช้สัญลักษณ์แทนสภาวธรรมคลุกเคล้าผสมผสานกันไปอย่างน่าสนใจยิ่ง
หินสลักทั้งสามสมัย สาญจี ภาระหุต และอมราวดีนั้น บอกเรื่องราวลำดับของเจ้าชายสิทธัตถะผู้สละราชสมบัติออกผนวช เป็นผู้เร่ร่อนพเนจรเสาะแสวงหาความจริงของชีวิตจนกระทั่งหลุดพันจากสังสารวัฏ บรรลุถึงคุณอันยิ่งใหญ่จนกลับกลายเป็นศาสดาผู้เลิศสุดหินสลักทั้งสามสมัยนี้มิได้ใช้ทรวดทรงรูปร่างของมนุษย์แต่กลับใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทนตลอด ตั้งแต่ทรงเป็นเจ้าขายจนเป็นพระพุทธเจ้าและเสด็จเข้าพระนิพพาน
ในบรรดาสัญลักษณ์เหล่านั้นมีอยู่สัญลักษณ์หนึ่งซึ่งเป็นทั้งจุดเริ่มแรกสุด (ราชวงศ์คุงคะ,187-25 B.C.) ตราบจนมีพระพุทธรูปอย่างทุกวันนี้นั้น เป็นสัญลักษณ์ของสูญญตา โดยทิ้งเนื้อที่ว่างไว้พอให้เข้าใจใต้ กล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ปราศจากเครื่องหมายใด ๆตลอดช่วง ๓๐๐ – ๖๐๐ ปี หลังพุทธปรีนิพพาน นายช่างและผู้รู้ครั้งนั้นไม่ได้ใช้ทรวดทรงมนุษย์แทนองค์พระศาสดาเลย นอกจากสัญลักษณ์ เช่น ดอกบัวบาน ปูรณฆตะ สวัสดิกะ ตรีรัตนะ ฝ่าพระบาท เสาไฟ ข้าง พระสถูป ฯลฯ อีกทั้งสลักอักขรพราหมีภาษาปรากฤตไว้ในที่บางส่วนของประติมากรรมนูนต่ำ ซึ่งพอจะเห็นเค้าได้ว่าเจตนารมณ์ของการสร้างสรรค์งานในทั้ง ๓ สมัยนั้นต้องการจะเล่าเหตุการณ์เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ดันจนจบ เพื่อให้การศึกษาต่ออนุชนรุ่นถัดๆ มาทั้งในส่วนประวัติบุคคลจริงทางประวัติศาสตร์และสภาวธรรมที่เป็นโลกุตระเหนือโลกอันยากที่จะแสดงออกด้วยสื่อใดๆ ได้ นับว่ากลุ่มผู้ริเริ่มได้กรุยทางต่อพัฒนาการด้านสุนทรีย์เยี่ยงพุทธศิลป์ไว้ในเชิงสัญลักษณ์ที่ปฏิเสธลักษณะมนุษย์ (ซึ่งถือว่าเป็นส่วนเปลือกนอก สถุละรูป) จนบรรลุถึงสุนทรียภาพชั้นเยี่ยมยอดในพระพุทธประติมารุ่นหลังๆ (โดยเฉพาะสมัยคุปตะ) อันถือเอาทรวดทรงมนุษย์เป็นปทัฏฐาน หากแต่กระทำให้บรรลุถึงมโนคติอันสมบูรณ์จนถือว่าเป็นสัญสัญลักษณ์ของพระตถาคตเป็นทั้งมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด (ตามการมองแห่งแนวทางประวัติศาสตร์)และเป็นทั้งสภาวะธรรมเหนือมนุษย์ (ตามแนวทางโลกุตระ)
พัฒนาการทางด้านรูปแบบและสุนทรียภาพจากสัญลักษณ์ล้วนๆ ไปสู่ทรวดทรงของมนุษย์นั้นเป็นทางเดินอันยาวนานของพระพุทธประติมา และยังรักษาความบริสุทธิ์จากต้นธารความคิดแรกไว้ได้สุนทรียภาพของชาวพุทธอันแสดงออกในพระพุทธประติมาไม่เพียงเป็นความเอิบอิ่มใจ และมิ่งขวัญเมืองของชุมชนชาวพุทธเท่านั้นหากสิ่งที่ล้ำเลิศนี้ได้บรรลุถึงความเป็นยอดหิมาลัยของวัฒนธรรมอินดีย และบางทีถ้าเราไม่ลังเลที่จะศึกษาให้ถึงแก่น สิ่งนี้อาจะเป็นสภาพสมบูรณ์ที่ความจริง ความดี และความงาม ได้เป็น ๓ หน้าตัดของเพชรเม็ดเดียวอันเจียระไนแล้วของมวลมนุษย์
ความงามในทรวดทรงมนุษย์อันสบูรณ์ (มหาบุรีสลักขณะ) นั้นได้เจียระไนตัวเองโดยน้ำมือและน้ำใจของพุทธมามกะสืบๆ มาในทุกๆ ประเทศที่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ปลุกให้ประชาชนตื่นขึ้นและผลสำเร็จก็สะท้อนออกมาที่พระพุทธประติมาอันงามล้ำเลิศ เป็นมิ่งมงคลเมืองของทิเบต ลังกา พม่า ไทย ลาว เขมร ญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย และจีน รวมทั้งอาณาจักรของชุมชนชาวพุทธที่ไม่ได้ระบุชื่อทั้งหมด
พระพุทธรูป คือ ข่าวสารอันประเสริฐ เป็นสิ่งสุดรักสุดบูชา เป็นรูปลักษณ์อันวิเศษขององค์ตถาคต เป็นมนณฑลธรรม เป็นรหัสสัญลักษณ์ช่วงขณะแห่งการตรัสรู้ เป็นความงามอันเป็นเปี่ยมด้วยระเบียบวินัยแห่งศิลปะ เป็นสื่อบ่งบอกถึงอารมณ์กรรมฐาน เป็นสื่อถึงสภาวะวิมุติหลุดพันจากสังสารวัฏสมบูรณ์ เป็นข่าวสารของความกลมกลืน และกรุณาโลกอันยุ่งเหยิง สลับซับซ้อนเบียดเบียน ทารุณโหดร้าย และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความหวาดกลัว จำต้องเพ่งมองพระพุทธประติมา และเรียนรู้สิ่งที่ตรงข้ามอันเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์แห่งโลกนี้หรือโลกอื่นด้วยกันทุกรูปทุกนาม