อุดมการณ์ – ปณิธานของแม่ทัพธรรม

ปัญญานันทภิกขุ

อุดมการณ์ ปณิธานและวิสัยทัศน์ในการเผยแผ่ธรรม ตลอดถึงงานด้านการปกครองของหลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ ที่ได้รวบรวมไว้ในธรรมสาส์นชาวพุทธฉบับนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ที่ท่านได้บรรยายปาฐกถา และกล่าวโอวาทไว้ในวาระและโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม จนกระทั่งกลายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม วัดชลประทานรังสฤษดิ์ และก้าวขึ้นมาเป็นพระมหาเถระองค์สำคัญของพุทธศาสนาไทยโดดเด่นเคียงข้างกับสหายธรรมของท่านคือท่านพุทธทาสภิกขุ

อธิษฐานใจ

เมื่อครั้งอาตมาเดินทางมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช ก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระธาตุที่นครฯ ตั้งจิตอธิษฐานอย่างไร คือตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตจิตใจนี้ แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอมอบการใจถวายพระพุทธศาสนา จะทำงานให้แก่พระศาสนาจนตลอดชีวิต” ถ้าพูดตามภาษาบาลี ก็เรียกว่า พุทฺธสาสเน อุรํ ทตฺวา น นิวตฺติสฺสามิ พรหฺมจริยปรายโนฯ แปลว่า “ข้าพเจ้าขอถวายชีวิต แก่พระพุทธศาสนา จะไม่กลับไปสู่เพศคฤหัสถ์

จะมุ่งหน้าประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป” ได้ตั้งใจอย่างนั้น อธิษฐานที่หน้าวัดพระธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช 

เมื่อคราวเข้ามากรงเทพ ฯ ก็เหมือนกัน เข้ามาครั้งแรกก่อนที่จะไปกับพระโลกนาถ ได้ไปที่โบสถ์วัดพระแก้ว ซึ่งถึงถือว่าเป็นปูชนีสถานสำคัญ จุดธูปจุดเทียนบูชา อธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธศาสนา จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา จนตลอดชีวิต” นับเป็นครั้งที่สอง เมื่อเดินทางกับพระโลกนาถไปถึงวัดพระพุทธชินราชที่พิษณโลก  ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงสำคัญในดวงใจชาวพุทธ ก็ได้กราบตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกัน

ครั้นเดินทางไปถึงเมืองย่างกุ้ง อันเป็นเจดียสถานที่คนเขาชอบไปใหว้ ไปบูชา ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกันว่า “ขอมอบกายนี้ถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาตลอดไป” เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่แรกเริ่ม

ที่ได้เกิดความตั้งใจนี้ขึ้นก็เพราะว่าได้ศึกษาพุทธประวัติ เกิดความเลื่อมใสในความเป็นมาของพระพุทธเจ้า แล้วก็อยากที่จะทำงานให้กับพระพุทธศาสนา เคยพูดบ่อย ๆ กับเพื่อนฝูง เมื่อสมัยอยู่นครศรีธรรมราช บอกว่าเรามันต้องเทศน์กันจริง ๆ เสียที ที่เทศน์ ๆ กันอยู่มันเทศน์เล่น ๆ เทศน์เอาหน้ากัณฑ์กัน ไม่ค่อยได้สาระ ไม่ได้เทศน์แก้คน ไม่ได้ปรับปรุงจิตใจคนให้ดีขึ้น ต่อไปนี้ ต้องเทศน์จริง ๆ กันเสียที เพื่อนฝูงก็ว่า “อย่าพูดอย่างนั้น คนพูดอย่างนั้นมันต้องไม่สึก” บอกเขาว่า “อ้าว! ก็ต้องไม่สึกกันละซิ เมื่อจะเทศน์กันแล้วมันต้องไม่สึก สึกไปทำไม คนอยู่ในโลกมันเยอะแยะแล้วเราเอาจริงเอาจังกันเสียบ้าง” เพื่อนฝูงบอก “เฮ้ย! อย่าพูดไปเดี๋ยวมันจะเป็นบ้าภายหลัง” ถามว่า “บ้าเพราะอะไร” “อ้าว! มันอยากสึก แล้วไม่ได้สึก เลยเป็นบ้าเพราะได้พูดไว้มากแล้ว” ก็บอกเขาว่า “ใจเรา เราบังคับได้ เมื่อเราตั้งใจแล้วมันต้องบังคับได้ อธิษฐานแล้วตั้งจิตรักษาการอธิษฐานนั้นไว้ พระพุทธเจ้าท่านทำจริงเราก็ต้องทำจริงบ้าง” นี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นในใจตั้งแต่เริ่มแรก เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นพระหนุ่มแล้วก็คิดอย่างนั้น

(แสดงเมื่อ ๑๕ พ.ค. ๒๕๑๔ ณ โรงเรียนพุทธธรรม วัดชลประทานรังสฤษฏ์)

เหตุที่เป็นสมภารวัดชลประทานฯ

เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม อาตมาอธิษฐานไว้ในใจว่า ไม่อยากเป็นสมการ เว้นไว้แต่ว่าวัดสร้างใหม่ไม่มีใครเคยเป็นเลย จะเป็นกับเขาสักทีก็ให้เป็นรูปแรกของวัดนั้นจึงจะรับเป็นสมภาร หรือมิฉะนั้นวัดใดที่ร้าง ไม่มีพระเหลืออยู่แม้แต่องค์เดียว ถ้าใครมานิมนต์ให้ไปเป็นก็ไปเป็นได้ ทำไมจึงได้ตั้งใจอธิษฐานไว้อย่างนั้น คือถ้าวัดใหม่เรา

ไปอยู่ ทำอะไรง่าย ตั้งอะไรขึ้นง่าย ไม่มีของเก่าอยู่ ทำอะไรได้ง่าย ถ้ามีคนเก่าอยู่เราจะไปทำอะไรมักจะถูกกีดกัน คนเก่าท่านอยู่มาก่อน ท่านอาจจะไม่พอใจในสิ่งที่เรากระทำ เมื่อท่านมีพรรค มีพวกข้างวัด ญาติโยมก็จะมาถือหางพระเข้า พระเราบางคราวก็มีหางเหมือนกัน คือมีหางให้ชาวบ้านถือ ที่นี้เมื่อมีชาวบ้านถือหางก็ชักจะแข็งข้อขึ้นมา เกิดขัดคอกับสมภาร ทำให้เกิดเป็นปัญหา จึงไม่อยากจะเป็นสมภารวัดที่มีพระอยู่แล้ว อยากจะเป็นสมการวัดที่ไม่มีพระ เพราะว่าสะดวกแก่การที่จะปฏิรูปกิจกรรมต่าง ๆ ให้ก้าวหน้า หรือว่าถ้าวัดนั้นร้างหมด ไม่มีใครอยู่เลย เพราะว่าไม่มีใครแล้ว เราจัดการกันได้เรียบร้อย ตั้งใจไว้อย่างนั้น ก็นึกว่าในชาตินี้จะไม่ได้เป็นสมภารกับเขาเสียแล้ว เพราะจะหาวัดในรูปแบบเช่นนั้นคงจะไม่มี

ต่อมาท่านอธิบดีกรมชลประทานให้คนไปนิมนต์ อาตมาก็พิจารณาว่าวัดชลประทานนี้ ตั้งอยู่หน้ากรมชลฯ ติดถนนใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ต่อไปข้างหน้าคงจะเป็นเมืองที่เจริญ บริเวณนี้เป็นทุ่ง การสัญจรไปมาก็สะดวก คนก็จะมากขึ้น เป็นสถานที่ใกล้กรุงเทพฯ เป็นจุดศูนย์กลางที่เราจะไปเหนือก็ได้ ไปใต้ก็ได้ ไปตะวันออกก็ได้ เป็นทำเลเหมาะที่จะตั้งมั่นขึ้นเพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่ญาติโยมชาวบ้าน

เมื่อพิจารณาในแง่ดังกล่าวนี้แล้ว ก็เลยยอมรับว่าจะไปเป็นสมการวัดชลประทานฯ ให้ เขาก็ดีใจกัน ว่าได้พระที่เหมาะแล้วที่จะมาอยู่ที่วัดนี้ พอถึงวันฤกษ์งามยามดี ท่านอธิบดีถือฤกษ์ ต้องไปถามสมเด็จวัดสระเกศ ว่าจะเปิดวัดวันไหน สมเด็จฯ ว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้น เพราะว่าเชื่อสมเด็จ เชื่อทั้งกันทั้งครอบครัว ไม่ว่าท่านอธิบดี คุณแม่ท่าน ทำอะไรต้องถามสมเด็จ ถ้าสมเด็จว่าดีแล้วก็ใช้ได้ เลยไปหาฤกษ์กับสมเด็จ ว่าเปิดวัดเวลาไหน วันไหน ฤกษ์อะไร สมเด็จก็ทำฤกษ์ให้เรียบร้อย ติดอยู่ที่ฐานพระประธานในโบสถ์

ในวันนั้นก็นิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ มีสมเด็จวัดสระเกศเป็นประทาน พร้อมด้วยเจ้าคุณวัดสามพระยา เจ้าคุณวัดโพธิ์และพระสมเด็จหลายองค์ พระผู้ใหญ่ทั้งนั้นที่เขานิมนต์มา อาตมาก็มานั่งฟังพระสวดมนต์อะไรไปตามเรื่อง พอได้เวลาเขาก็มอบตราตั้งสมภารให้ ไม่มีการรั้งตำแหน่ง เป็นกันเลยทีเดียว

สมเด็จวัดโพธ์ที่เป็นสังฆราชท่านว่า แหม! ยินดีเหมือนกับได้โสฬส ยินดีดั่งได้โสฬส เป็นคำกลอนในเรื่อง

รามเกียรติ์ ท่านเจ้าบทเจ้ากลอน เลยบอกว่ายินดีเหมือนดังได้โสฬสที่ได้เป็นสมภารวัดนี้ ก็ตั้งกันเสร็จเรียบร้อย

มีพระองค์หนึ่งในหมู่นั้น ลงมาเดินดูบริเวณวัด เดินดูแล้วก็พูดเปรย ๆ ขึ้นมาว่า “ท่านปัญญานันทะจะนำพาไปได้หรือ

วัดนี้” พูดเป็นเชิงดูหมิ่นว่าอาตมาไร้ฝีมือ ดีแต่เที่ยวเทศน์เที่ยวสอนเขา ไม่สามารถจะปกครองวัดได้ ไม่สามารถจะทำวัดให้เจริญได้ เลยพูดว่าท่านปัญญานันทะจะพาไปรอดหรือวัดนี้ ชาวบ้านเขาได้ยิน เขาก็มาบอกอาตมาว่าเขาว่าอย่างนั้น อาตมาก็บอกว่า เรื่องของเขา เขาจะว่าอะไรก็ได้ คนเรามีปากจะพูดก็พูดไปตามเรื่องตามราว เราไม่ถือ เขาจะว่าอะไรก็ตามใจ แต่ว่าคอยดูฝีมือก็แล้วกัน ว่านักเทศน์อย่างท่านปัญญาฯ นี้ จะพาวัดวัดชลประทานรังสฤษดิ์ไปรอดได้หรือไม่ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป

(แสดง ณ วัดชลประทานฯ อาทิตย์ ๒๕ พ.ค. ๒๓)

โสฬส แปลว่า ชั้นพรหมโลก ๑๖ ชั้น ถือกันว่าเป็นที่ที่มีสุขอย่างยอดยิ่ง

พัฒนาไปสู่ความถูกต้อง

ความคิดของอาตมาในเรื่องการเป็นสมภารนี้ก็คือ จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง เพื่อให้ดีขึ้น เช่นเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของพุทธบริษัทให้ดีขึ้น ให้เป็นสัมมาทิฏฐิมากขึ้น ให้มีความเชื่อถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนามากขึ้น เป็นความคิดและอุดมการณ์เก่าแก่ตั้งแต่ไม่ได้เป็นสมภาร คือตั้งแต่เริ่มเทศน์สอนคนมาก็ตั้งใจว่าสอนเพื่อแก้ไข ไม่ใช่สอนเพื่อให้ญาติโยมเบาใจ สบายใจเหมือนที่เขาเทศน์กันทั่ว ๆ ไป แต่เทศน์เพื่อปรับปรุงแก้ไขความคิดความเห็นของญาติโยมที่ผิดให้กลายเป็นถูก ที่งมงายให้กลายเป็นความฉลาด ให้ก้าวหน้า นี้เป็นหลักใหญ่ โดยมีอุดมการณ์แน่วแน่ว่า เรามีความมุ่งหมายอย่างไร เรามีความบริสุทธิ์ใจเพียงไหน เราทำไปตามความคิดของเรา เพื่อสร้างสรรค์สิ่งค์สิ่งงาม

เปิดปาฐกถา

อาตมามีความคิดในเรื่องสอนธรรมะมาก ก็เลยเปิดการเทศน์วันอาทิตย์ขึ้นในพรรษานั้น เมื่อครั้งมาอยู่ที่วัดชลประทานฯ ใหม่ ๆ เริ่มในพรรษาเพราะว่าจะอยู่ประจำที่แล้ว ในพรรษา พ.ศ.๒๕๐๓ ก็เริ่มเทศน์ในศาลา ก่อนจะเทศน์ก็ไปขอเก้าอี้จากกรมชลประทาน ให้สร้างเก้าอี้ให้สัก ๑๐๐ – ๒๐๐ ตัว เพื่อให้คนมานั่งฟังปาฐกถา เตรียมซื้อเครื่องขยายเสียง ลำโพง ๒ ลำโพง พอถึงวันอาทิตย์ก็เริ่มแสดงธรรม คนมาฟังธรรมไม่กี่คนในวันนั้น เพราะคนยังไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไร นึกในใจว่าต้องตั้งต้นด้วยของน้อย ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ก้าวต่อไปโดยลำดับ จนกระทั่งกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ ทำเรื่อย ๆ ไป มีคนรู้เข้าก็มาฟังปาฐกถาจำนวนมากเพิ่มขึ้น 

พูดแต่ในวัดอย่างเดียวไม่พอ คนยังไม่รู้กันมาก ก็เลยไปติดต่อสถานีวิทยุยานเกราะ บอกว่าขอให้เวลาสักครึ่งชั่วโมง ใน ๑ สัปดาห์ เพื่อพูดธรรมะแก่ประชาชน ก็เลยพูดทางวิทยุยานเกราะ มีอะไรก็บอกไปผ่านวิทยุให้คนรู้ว่าที่วัดมีอะไรบ้าง มีการเทศนาทุกวันอาทิตย์ เวลา ๙ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง คนเขาได้ยินเขาก็มากัน แล้วเขานิมนต์ไปเทศน์ตามวัดต่าง ๆ เทศน์วัดไหนก็โฆษณาทุกวัด บอกว่าวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี มีการพูดธรรมะทุกวันอาทิตย์ ให้ญาติโยมไปฟังบ้าง ไปดูบ้าง โยมเขาก็มากัน คนค่อย ๆ มากขึ้น จนเต็มศาลา แล้วก็แสดงธรรมอยู่ในศาลานั้นเป็นเวลาหลายปี เพราะว่าไม่มีที่อื่นที่ดีกว่านั้น แสดงนาน ๆ เข้ามีคนมากขึ้น ก็เห็นว่าจะไปไม่ไหว ก็ต้องขยับขยายที่ทางต่อไป

(แสดง ณ วัดชลประทานฯ อาทิตย์ ๒๕ พ.ค. ๒๓)

เผยแผ่ธรรมะบริสุทธิ์

เมื่อมาเป็นสมภารวัดชลประทานฯ อาตมามีอุดมการณ์ไว้ว่า วัดนี้จะให้เป็นวัดที่เผยแผ่สัจธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่าเผยแผ่ธรรมะบริสุทธิ์ ไม่ให้เผยแผ่สิ่งเหลวไหล เช่น หมอดูของขลัง โชคลางต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนา เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่มีหมอดู คราวหนึ่งพระรูปหนึ่งมาพักที่วัดทำตนเป็นหมอดู ญาติโยมมาบอกให้ทราบว่า พระที่มาพักที่กุฏินั้น มาจากจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้เป็นหมอดู อาตมาเลยไปบอกว่า “คุณกลับวัดได้แล้ว มาอยู่ที่นี่

ทำให้เสียอุดมการณ์ของวัด” พระบอกว่า “ขออยู่อีก ๒ คืน จะไม่ดูใครแล้ว” พอครบ ๒ คืน ก็ไล่กลับบ้าน เพราะมานั่งแอบเป็นหมอดู วัดนี้ไม่มีหมอดู ไม่มีการทำพิธีนอกรีตนอกรอย เช่น ปลุกเสกลงเลขลงยันต์ ทรงเจ้าเข้าผีอะไรต่าง ๆ ไม่ให้มี

แต่ถ้าใครจะมาดูว่าจะแต่งงานวันไหนก็ดูให้ ต้องถามเขาก่อนว่าจะแต่งวันไหน จะสะดวกวันไหน ถ้าพร้อมจะแต่งวันเสาร์ที่จะถึงนี้ทันไหม ถ้าบอกว่าทันก็แต่งวันเสาร์กันได้เลย หรือถ้าจะให้สะดวกกว่านั้นก็เว้นไป ๒ เสาร์ก็ค่อยแต่งก็ยังไม่สาย บางครั้งเขามานิมนต์ บอกว่าให้สวดมนต์เวลานั้น จะสวมแหวนเวลานั้น สวมมงคลเวลานั้น อาตมาบอกว่า ต้องมอบอำนาจให้อาตมา นิมนต์อาตมามาแล้วต้องให้อาตมาเป็นใหญ่ ใครจะมาเป็นใหญ่เหนือท่านปัญญาไม่ได้ตอนนี้ “ฉันต้องเป็นใหญ่ ต้องทำตามฉัน ถ้าไม่ทำตามฉัน ฉันจะพาพระกลับวัดตอนนี้” ยืนคำขาดเลย “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ท่านเจ้าคุณก็แล้วกัน” ก็ทำตามของเรา ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาจุดธูปเทียนไหว้พระรับศีล ฟังพระสวดมนต์ เสร็จแล้วถวายภัตตาหาร พระฉันเสร็จ เทศน์สอนเจ้าบ่าว เจ้าสาว สอนเสร็จก็กลับวัด

(แสดง ณ วัดชลประทานฯ อาทิตย์ ๒๕ พ.ค. ๒๓)