ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๕ ฉันได้เดินทางมาลงเครื่องบินที่สนามบินออนตาริโอและเข้าสู่วัดพุทธปัญญาในตอนบ่ายๆ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่วัดพุทธปัญญากำลังอยู่ในระหว่างการมีปัญหาครั้งใหญ่ วัดไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจำ คนที่เคยมาทำบุญที่วัดที่วัดก็เหลือยู่ไม่กี่คน เพราะเมื่อวัดไหนก็ตามมีความขัดแย้งสูง ประชาชนที่มาทำบุญก็มักจะหลบลี้หนีหายไปทันที เพราะทุกคนตระหนักเสมอว่า ไปวัดทำบุญต้องสบายใจ ไม่ควรไปขัดแย้งหรือไปทะเลาะกับใคร
พอวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๐ ฉันก็อยู่ที่วัดพุทธปัญญาครบห้าปี วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากมองถึงสถิติของเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญาก่อนหน้าที่ฉันจะมาอยู่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัดช่วงห้าปีแรก เจ้าอาวาสผ่านมาแล้วจากไปถึงสามรูป แต่ฉันเองมาอยู่ที่วัดพุทธปัญญารูปเดียว ๕ ปี ก็นับว่าอยู่ได้นานทีเดียว แต่วันหนึ่งในอนาคตก็จะต้องจากไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าจะจากไปในวันใดด้วยสาเหตุอะไรเท่านั้น แต่วันนี้เป็นวันครบรอบห้าปีจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่านั้น
ขณะนั้นมีคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการอำนวยการและผู้ที่ช่วยเหลืองานอยู่ประมาณ ๗ คน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๕ จำได้ว่า มีเพียงคณะกรรมการและอุบาสิกาสิกาสิกาอีกคนหนึ่ง นอกนั้นไม่มีใคร เพราะเมื่อบรรยากาศปกลุมไปด้วยความขัดแย้งจึงไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาสู่แวดวงแห่งความขัดแย้งนั้น ผู้ที่ยังอยู่ก็อยู่ด้วยความหวาดหวั่นไม่มั่นคง
เมื่อมีการประชุมกรรมการ เรื่องที่พูดก็เป็นเรื่องความขัดแย้งที่กำลังเผชิญอยู่นั่นเอง สิ่งที่ฉันบอกกรรมการในขณะนั้นก็คือ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป หากติดอกติดใจเรื่องที่กระทบกระทังกันก็พยายามให้อภัย ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและทำเรื่องเล็กให้หมดไป เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ถ้ามีความตั้งใจ
เมื่อคณะกรรมการมีมติให้ฉันเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นเอกฉันท์ก็ประกาศนโยบายสั้นๆ ว่า ฉันจะอยู่ที่นี้เพื่อ การศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็น “แก่นสาร” มากว่าการทำงานด้านอื่น แม้ว่าจะต้องรับภาระหนี้สินค่าที่ดินที่หนักหน่วง แต่จะต้องตั้งอยู่บนหลักการแห่งธรรมวินัยและความเหมาะสมของพระสงฆ์อย่างเคร่งครัด หากการปฏิบัติอย่างนี้ไม่มีใครเข้าวัดให้การอุปถัมภ์ ที่ดินและบ้านที่ใช้สร้างวัดถูกยึดไป ก็พร้อมที่จะให้ถูกยึดและเดินทางกลับเมืองไทย จะได้พิสูจน์ให้ทราบกันว่า การเผยแผ่ธรรมะโดยไม่มุ่งหน้าหาเงินอย่างผิดทางต้องทำให้วัดถูกยึด พระธรรมทูตอื่นๆ ที่จะมาทีหลังจะได้ทราบกันไว้
เมื่อตั้งใจแน่วแน่ที่จะนำพาวัดพุทธปัญญาเดินบนเส้นทางสายใหม่ที่ยังไม่มีใครกล้าทำกันมาก่อน ก็มีเสียงทักท้วงพอสมควร เมื่อใครทราบนโยบายนี้บางรายถึงกับโทร.มาถามว่า พ่อเป็นเศรษฐีหรือที่ไม่ต้องหาเงินเข้าวัดอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน ก็ตอบเขาไปว่า พ่อแม่ยากจน และเสียไปหมดแล้วด้วย เพียงแต่ฉันอยากจะสร้างวัดให้เป็นวัดที่ถูกติฉินนินทาว่า เป็นวัดพุทธพาณิชย์ให้น้อยที่สุดเท่านั้น
จุดเริมต้นนำเอาตู้บริจาคที่มีอยู่ไปเก็บ ภายหลังนำไปทิ้งลงถังขยะไป การทำอย่างนี้ทำให้พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่รักใครนับถือกันถามว่า ได้ข่าวว่าถึงกับไม่ตั้งตู้บริจาคเชียวหรือ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ตอบไปว่า ลองทำดู หากอยู่ไม่ไม่ได้ก็กลับเมืองไทย ยังมีวัดร้างที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน พอที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ไปได้อีก
๓,๐๐๐ วัด หากอยู่วัดละหนึ่งปียังเร่ร่อนอยู่ได้ถึง ๓,๐๐๐ ปี ตอบท่านทีเล่นที่จริง แต่มีความจริงมากกว่า
เคยมีร่องรอยแห่งการนำสายสิญจน์วงน้ำบริสุทธิ์ที่ยังอยู่ในกล่อง เพื่อเสกเป็นน้ำมนต์ให้คนบูชาได้อย่างสะดวก ภายหลังได้นำสายสิญจน์ไปทิ้งเสีย ไม่ต้องเสกนำมนต์ หากใครต้องการก็เอาเนื้อมนต์ไปล้วนๆ เนื้อมนต์คือธธรรมะที่มีอยู่แท้ๆ ปฏิบัติได้ จึงกลายเป็นวัดที่ไม่ต้องมีน้ำมนต์ ไม่ว่าในกรณีใด
ในศาลาน้อยที่ทำขึ้นมาจากโรงรถ ยังมีสังฆทานชุดที่ห่อไว้ให้พุทธศาสนิกชนเช่าถวายเป็นทางหาเงินเข้าวัดอีกทางหนึ่ง ที่นิยมกันมากในประเทศอเมริกาเพราะเป็นทางหาเงินที่ต้นทุนต่ำอย่างมากบางวัดเล่ากันว่า สังฆานเพียง ๒๐ ชุดขายวนไปเวียนมาถึง ห้าหมื่นเหรียญ ก็บอกกับกรรมการว่า วัดพุทธปัญญาจะถวายอาหารเป็นสังฆทานตามคำกล่าวถวายสังฆทาน แต่จะยกเลิกสังฆทานเวียนเทียนนั้นอย่างเด็ดขาด ใครจะทำก็ทำกันไป แต่เราจะลองไม่ทำดู
การยกเลิกสังฆทานเวียนเทียน ทำให้กรรมการบางท่านคิดหนักแต่พูดไม่ออก เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรในเมื่อบอกว่าต้องการสร้างวัดให้ปลอดจากพุทธพาณิชย์ก็ว่ากันแบบสุดๆ ไปเลย ไม่ต้องมีเยื่อใยนอกรีตใดๆ อะไรเหลืออยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เจ๊งเป็นเจ๊ง ให้ธรรมะและพุทธวิถีที่ถูกต้องดำรงอยู่เป็นพอ พระสงฆ์ตาย
ได้ ลาสิกขาได้ วัดล้มได้ แต่พระพุทธศาสนาที่แท้ต้องอยู่ต่อไปอีกยาวนาน
เมื่อแรกเดินทางมาอเมริกา เห็นพระสงฆ์วัดต่างๆ ขับรถกันเป็นทิวแถว ด้วยข้ออ้างที่ควรค่าแก่การขับรถที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยว่า มีความจำเป็นเพราะพระสงฆ์มาอยู่ที่อเมริกาต้องพึ่งตนเอง ไม่มีใครมาขับรถให้ ไปไหนมาไหนลำบาก
ประชาชนชาวไทยที่ไม่เคยชินกับการขับรถของพระสงฆ์มาก่อน เห็นแล้วทำใจลำบาก พูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ท่านอ้างมานั้นเป็นความจริง แต่ละวัดพอถึงวันธรรมดาญาติโยมก็จะพากันไปทำงานปล่อยพระสงฆ์ให้อยู่วัด จะไปไหนก็ไม่ได้ มีธุระอะไรก็ต้องรอให้ญาติโยมเข้ามานั้นแหละจึงจะได้ไปทำธุระ
แต่ฉันก็คิดว่า แม้พระสงฆ์จะต้องเผชิญกับความจำเป็นที่จะต้องขับรถถึงขนาดนั้น ก็จะต้องทดลองดูเพื่อพิสูจน์ว่า หากพระสงฆ์ไม่ขับรถจะทำหน้าที่พระธรรมทูตได้หรือไม่ จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ไหม จะพึ่งรถของญาติโยมได้แค่ไหน และเพื่อเป็นการส่งเสริมชีวิตของพระสงฆ์ที่เรียบง่ายไม่ทิ้งรากฐานเดิม หรือใช้ภาษา
อาจารย์สุลักษณ์ว่า ไม่เป็นวัวลืมตีน จึงเสนอว่า แม้รถวัดก็ไม่ต้องมี จะเป็นการประหยัดอีกทางหนึ่งด้วย
ฉันได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วห้าปีว่า แม้พระสงฆ์ไม่ขับรถเองรักษาประเพณีของพระสงฆ์ไทย ก็สามารถทำหน้าที่พระธรรมฑูตได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และยังทำให้ประชาชนไทยที่ยังไม่คุ้นชินได้มีความชื่นใจและไม่ตกใจอีกด้วย
ฉันสามารถเดินทางไปลงอุโบสถในวันปาฏิโมกข์ที่วัดไทยแอลเอด้วยรถเมล์ ๔๘๐ แล้วต่อรถใต้ดินไปขึ้นนอร์ทฮอลลิวูด ต่อรถเมล์สาย ๕๒ ไปถึงหน้าวัดไทย ด้วยราคาเพียง ๔ เหรียญ ๒๕เซ็นต์ รวมทั้งไปทั้งกลับไม่เกิน ๑๐ เหรียญ หนึ่งเดือนจ่ายเพียงไม่ถึง ๑๐ เหรียญ แม้จะต้องไปเรียนหนังสือด้วยทุกวันก็ไม่เกิน ๓๐ เหรียญต่อเดือน คิดอย่างไรก็ยังถูกกว่ารถยนต์ ถูกกว่าการไปรถส่วนตัวที่จะต้องเติมน้ำมันครั้งละ ๒๐ เหรียญเป็นอย่างต่ำ
ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาฉันสามารถกล่าวได้ว่า ฉันทำหน้าที่พระธรรมทูตได้อย่างไม่บกพร่อง โดยไม่ต้องขับรถส่วนตัวหรือมีรถยนต์ไว้ในวัดได้เลย ตามดติที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยพร่ำสอนเสมอว่า “ชาวพุทธต้องอยู่อย่างต่ำกระทำอย่างสูง” โดยเฉพาะพระสงฆ์ซึ่งชาวพุทธมอบให้เป็นผู้นำของพุทธบริษัท ที่จะต้องดำเนิน
ชีวิตที่เป็นตัวอย่างของผู้ไม่หลงไหลในวัตถุนิยมด้วยแล้วต้องตระหนักอย่างมากทีเดียว
ชาวพุทธส่วนใหญ่และพระสงฆ์โดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันไปในทิศทางเดียวกันว่า ศาสนาพุทธ พราหมณ์ ไสยศาสตร์อยู่เดียวกันได้ ทำพร้อมกันได้ ดังศาสนสถานทั้งหลายที่เห็นอยู่โดยทั่วไป แทนที่จะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งพระมหากรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระปัญญญาธิคุณ กลับเป็นที่สิงสถิตแห่งลัทธิไสยศาสตร์และเซนอยู่โดยทั่วไปดังเห็นได้จากการบนบานศาลกล่าวอ้อนวอนพระพุทธรูป ทำพระพุทธรูปและรูปเจ้าแม่เจ้าพ่อต่างๆ ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาเซนหรือฮินดูที่ว่าในธาตุทุกชนิดมีชีวะสิงสถิตอยู่ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการเอาความเชื่อของศาสนาอื่นเข้ามาครอบพุทธศาสนาจนหาร่องรอยแห่งพุทธศาสนาไม่เจอ
ในวัดหรือพุทธศาสนสถานจึงเต็มไปด้วยลัทธิไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ เพื่อตอบสนองความพอใจของประชาชนที่ยังไม่มีความรู้ว่า อะไรเป็น “พุทธ” อะไรเป็น ไสยศาสตร์” อะไรเป็น “พราหมณ์” อะไรเป็น “เชน” ยิ่งปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ด้วยแล้วเป็นปีแห่งไสยศาสตร์จริงๆ วัตถุไสยศาสตร์ทุกชนิดที่ผ่านการทำพิธีปลุกเสกด้วยลัทธิ
พราหมณ์ ออกมาล้วนมีราคาแพงลิ่ว
ฉันมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า ถึงเวลาที่จะต้องแยกกันชัดๆ ว่า อะไรเป็นไสยศาสตร์ อะไรเป็นพุทธศาสตร์ ไม่ควรปนเปหรือครอบงำกันจนสับสนอย่างนี้ ผลอออกมาพระพุทธศาสนาที่แท้จริงถูกบิดเบือนให้เข้าใจผิดไปว่าเป็นศาสนาที่งมงาย ไร้สาระ ไม่มีเหตุผล ปฏิบัติไม่ได้ ขัดขวางการพัฒนา เป็นการทำลายศาสนาที่คน
ทำลายไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังทำลาย แต่เข้าใจผิดว่าเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป
ฉันจึงมีความตั้งใจว่า จะสร้างวัดพุทธปัญญา ให้เป็นวัดที่มีการศึกษาพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มุ่งไปสู่การใช้พระธรรมมานำชีวิต มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตามหลักของชาวพุทธแต่ครั้งพุทธกาลโดยไม่พึ่งสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้
เมื่อมีความทุกข์ก็พิจารณานำเอาพระพุทธคุณ พระธธธรรุมคุณและพระสังฆคุณมาเป็นแนวทางแห่งการแก้ไข ไม่ใช้วิธีการอื่น เพราะมั่นใจว่า พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ มีพลานุภาพเพียงพอต่อการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ได้ ซึ่งทุกสิ่งต้องทำเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ส่วนการเดินทางไปสู่ความดับทุกข์เป็นเรื่องของเธอ” ห้าปีที่ผ่านมาวัดพุทธปัญญาจึงดำเนินการเผยแผ่พระพุทธ
ศาสนาด้วยอาศัยพระคุณของพระรัตนตรัยโดยไม่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือไปจากพระพุทธศาสนาเข้ามาปะปนให้สับสน แต่ทั้งนี้ก็พร้อมที่จะเป็นมิตรกับผู้ที่ถือสิ่งอื่นเป็นทางแห่งความดับทุกข์อย่างไม่มีข้อรังเกียจแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้ทราบว่า วัดพุธปัญญาจะพึ่งพระรัตนตรัยเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตเท่านั้น
เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์ กฐิน เข้าพรรษา ออกพรรษา วิสาขบูชา มาฆบูชา ลอยกระทง วัดต่างๆ มักจะถือโอกาสนี้จัดงานรื่นเริงเพื่อดึงดูดใจประชาชนให้ไปดูมหรสพและซื้อสิ่งของต่างๆ ที่ทางวัดจัดขึ้น เพื่อหาเงินเข้าวัดด้วยวิธีการต่างๆ สารพัดเป็นที่ทราบกันว่า หลายวัดจัดงานแต่ละครั้งได้เงินเข้าวัดเป็นเรือน
แสนเหรียญขึ้นไป
ฉันคิดว่า การจัดงานรื่นเริงในวัดไม่ว่าวิธีใดย่อมเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ของศาสนสถาน เพราะวัดเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งเน้นความสงบเป็นจุดหมายปลายทาง ยิ่งสงบเท่าไร ยิ่งส่งเสริมการศึกษาธรรมะให้แจ่มแจ้งได้เท่านั้น แต่การจัดมหรสพหรือการละเล่นต่างๆ เป็นเรื่องที่
ทำให้วัดมีเสียงดังอึกทึกครึกโครม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบ อันเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวัดในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า อารามซึ่งแปลว่า สถานที่ที่น่ารื่นรมย์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสถานเริงรมย์อย่าง
สิ้นเชิง
วัดพุทธปัญญา จึงไม่จัดงานการละเล่นสนุกสนานรื่นเริงทุกชนิด เพื่อดึงดูดคนให้เข้าวัด แต่ยินดีต้อนรับผู้ที่มีความสนใจใจใคร่จะศึกษาธรรมะ ด้วยความเต็มใจและตั้งใจ เพื่อความรู้ ความเข้าใจแจ่มแจ้งแห่งธรรมอย่างแท้จริง การไปวัดคือการแสวงหาความรู้ทางธรรมอย่างตรงประเด็น ไม่เปลี่ยนแปลงจุดประสงค์อย่างอื่นนอกจากเรื่องธรรมะ เพราะวัดมีความเหมาะสมที่จะจัดการเรื่องธรรมะได้มากกว่าเรื่องอื่น
ห้าปีที่ผ่านมาจึงได้จัดวัดเพื่อการเผยแผ่ธรรมะมากว่าเรื่องอื่นใด เพราะหน้าที่หลักของพระธรรมทูต คือการเดินทางมาประกาศธรรมะให้แก่ผู้ที่ต้องการธรรมะเท่านั้นวัดพุทธปัญญาได้จัดสื่อธรรมะทั้งหนังสือ ซีดี ดีวีดี วีซีดีและทีวีเพื่อส่งธรรมะไปถึงผู้สนใจอย่างมิได้ขาดส่วนกระบวนการสร้างวัดก็ได้วางไว้เป็นลำดับแห่งพัฒนาการไว้ว่า สร้างใจ สร้างคน สร้างชุมชน และสร้างวัด
จากวันแรกที่เดินเข้ามา วัดพุทธปัญญามีคนเข้าวัดไม่ถึงสิบคน วันนี้ปีที่ห้า วัดพุทธปัญญาได้มีโอกาสพบปะผู้ใฝ่ธรรมไม่ต่ำกว่าห้าสิบหรือหกสิบคนต่ออาทิตย์อย่างต่อเนื่องมิได้ขาด โดยไม่ต้องจัดการละเล่นหรือมหรสพที่จะมาชักจูงใจคนเข้าวัดแต่อย่างใด เพราะเมื่อทุกคนได้ศึกษาธรรมะกันอย่างตรงๆ ไม่อ้อมค้อม นำสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างตรงประเด็นย่อมจะได้รับผลเป็นความสุขสงบเย็น กายดี จิตสงบ พบความสุขง่ายๆ ก็คิดถึงผู้อื่นจึงช่วยกันยอกต่อๆ กันไปว่า มาฟังธรรมกันเถิด ธรรมะมีคุณค่ามากสำหรับชีวิต
เมื่อได้ลองปฏิบัติธรรมดูก็พบว่า มีเพื่อนๆ จำนวนมากที่สนใจใฝ่ธรรมอย่างจริงจัง ช่วยกันเป็นกำลังใจ ช่วยงานต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ตัว กลายเป็นชุมชนคนรักธรรม เพราะมารวมตัวกันด้วยธรรมไม่ปรารถนาจะรับสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากธรรม
ชุมชนได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นมาตามลำดับ ทุกคนล้วนมีจิตใจเปี่ยมด้วยความกรุณา เวลามีภัยพิบัติ เช่น ภัยสึนามิ หรือพบเยาวชนได้รับความยากลำบาก เมื่อบอกข่าวเหล่านี้ให้ทราบก็รีบชวนกันขวนขวายบริจาคตามศรัทธาตามที่เห็นว่าสมควรจะให้ความช่วยเหลือ ได้ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากกันไปหลายๆ ครั้งในแต่ละปีที่ผ่านมา
บัดนี้ วัดพุทธปัญญา มีทีดินเป็นของวัดแล้ว ชาววัดพุทธปัญญาผู้ใฝ่ธรรมล้วนเปี่ยมด้วยขันติธรรรม ทนร้อนทนห์นาวฟังธรรมใต้ต้นไม้กันมาทั้งที่กริฟฟิตพาร์คเป็นเวลาห้าปีไม่หนีไปไหน บัดนี้ทาง City of Pomona ได้อนุญาตให้สร้างวัดตามระเบียบของ Cityแล้ว ชาววัดพุทธปัญญาจึงจำเป็นต้องสร้างศาลา ลานจอดรถและรั้ว
สองด้านตามที่ City กำหนด
จึงได้นัดแนะพร้อมใจกันว่า วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕๐จะเป็นวันวางศิลาธรรม เพื่อลงหลักปักฐานพุทธธรรมลงในดินแดนอเมริกาอย่างมั่นคง เพื่อประโยชน์ของชาวโลกอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ตามพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ที่ฝากไว้ทุกประการ
ห้าปีที่วัดพุทธปัญญา เป็นห้าปีแห่งการร่วมมือ ร่วมแรง และร่วมใจกัน สร้างใจ สร้างคน สร้างชุมชน สร้างวัดเพื่อส่งเสริมศาสนาทั้งในด้านศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ไปพร้อมๆกัน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในวิถีทางที่ทุกคนปรารถนาสืบไป
๒๒ เมษายน ๒๕๕๐