พุทธทาสภิกขุ
การบรรยายประจําวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชาอันว่าด้วยใครเป็นใคร เป็นครั้งที่ ๔ ในวันนี้ อาตมาก็ยังคงกล่าวเรื่องใครเป็นใครต่อไปตามเดิม และจะกล่าวโดยหัวข้อย่อยเฉพาะในวันนี้ว่า “คนเกลียดวัดกับคนรักวัด”
ส่วนในวันนี้ จะพูดถึงคนพวกหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า คนเกลียดวัด ตรงกันข้ามจากคนอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า คนรักวัด เรื่องคนเกลียดวัดจะพูดด้วยธรรมะสักชุดหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนที่เขาเกลียดวัด
เผื่อว่าเขาจะกลับตัวได้ ดังนั้นจึงขอให้ถือว่าการพูดในวันนี้เป็นการพูดกับคนที่เกลียดวัดโดยตรง
คนเกลียดวัดนั้น มีตั้งแต่คนวัยรุ่น ไม่ค่อยจะมีสตางค์ใช้ รบกวนพ่อแม่ ราวกับจะจับพ่อแม่ใส่นรกทั้งเป็น สูงขึ้นไปถึงคนที่ทํามาหากิน สูงขึ้นไปถึงนายทุนทั้งหลาย มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ก็ยังมีอาการเกลียดวัดอยู่ในคนพวกนี้
ขอให้คิดดูเถิดว่า ในโลกนี้จะมีคนเกลียดวัดอยู่สักกี่คน ไม่เฉพาะในประเทศไทยเล็ก ๆ ของเรา แต่หมายถึงคนทั้งโลกที่เกลียดวัด เกลียดศาสนา เกลียดพระธรรม เกลียดพระเจ้า มีกันอยู่สักเท่าไร จะ พูดถึงคนพวกนี้ แต่แม้คนที่กําลังพูดอยู่ว่า “ฉันรักวัด ฉันรักวัด” จะรักจริงหรือเปล่า? หรือรักตามแบบขนบธรรมเนียม ประเพณี ซึ่งก็มีการรักแต่ปาก ส่วนจิตใจอาจจะไม่รักก็ได้ นี้เรียกว่ายังอยู่ระหว่างกลาง
คนเกลียดวัดก็ต้องมีอะไรไปตามแบบของเขา ไม่ยอมรับศาสนา ไม่ยอมรับพระธรรม ไม่ยอมรับขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรของสัตบุรุษผู้รักวัด เราจะบอกให้เขาทราบว่า “ท่านผู้เกลียดวัดทั้งหลาย การเป็นทาสของอายตนะของท่านนั้นทําให้ท่านเกลียดวัด การเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แสวงหาแต่ความสุขสนุกสนานทางอายตนะ จนติดรสทางอายตนะงอมแงมเหมือนติดฝิ่น ความเป็นทาสของอายตนะนี้เอง ทําให้คุณกลายเป็นคนเกลียดวัด เพราะรู้สึกว่าวัดนั้นมันขัดกันกับความรู้สึกของคุณเพราะว่าคุณต้องการอย่างหนึ่ง ที่วัดเขานิยมกันอีกอย่างหนึ่ง
หรือจะดูให้ละเอียดลออก็จะพบว่า คนเหล่านี้เขาหูแว่วมาตั้งแต่เล็ก ๆ หรือแต่แรกคลอดก็ว่าได้ มีสิ่งที่ทําให้เขารู้สึกว่า วัดนั้นมีการประพฤติพรหมจรรย์ มีการประพฤติวัตรอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งล้วนแต่มันไม่มีรถไม่มีชาติ สําหรับพวกเราที่ยังชอบสนุกสนาน วัดมีไว้สําหรับคนแก่ที่จะลากตัวเองไปหาโลง เรายังไม่ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้นเราจึงไม่ชอบวัด
พูดมาถึงตอนนี้นึกขึ้นมาได้ คราวหนึ่งเขาเอาลูกนกฮูกที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ ๆ มาให้เลี้ยง ก็มีความตั้งใจว่า ถ้าเราจะหัดให้ลูกนกนี้มันกินผลไม้ โดยเฉพาะก็คือกล้วย ไปเสียตั้งแต่เล็ก ๆ โตขึ้นก็ไม่ต้องกินสัตว์ เช่น หนู เป็นต้น เป็นอาหาร มันก็จะกลายเป็นสัตว์ที่กินกล้วย เลี้ยงก็ง่ายดี แล้วก็คงจะแปลกดี ได้พยายามให้ลูกนกนี้ กินกล้วยตั้งแต่เล็ก ๆ
แต่ให้กินอย่างไรก็ไม่ยอมกิน ต้องพยายามบังคับให้ใส่ลงไปในปาก แล้วก็ลึกลงไปถึงในคอ จนเลยเข้าไปในลําคอ คิดว่าคงจะสําเร็จ เพราะอย่างไรมันก็กลืนเข้าไปแล้ว แต่ที่ไหนได้พอรอมาอีกครู่หนึ่ง มันสํารอกออกมาหมด อาเจียนออกมาหมด จะพยายามอย่างไรมันก็ไม่กิน มันก็อาเจียนออกมาหมด ฉะนั้นก็เลยต้องเลี้ยงด้วยเนื้อสัตว์ไปตามมีตามได้ จนมันโตบินไปได้ ก็ให้บินไป เรียกว่าการที่จะให้นกที่กินเนื้อ มากินผลไม้นี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ถึงขนาดนี้ แล้วจะให้คนเกลียดวัดกลายเป็นคนรักวัดนี้ คงจะพอ ๆ กันกับการพยายามให้ลูกนกฮูกให้กลายเป็นนกกินกล้วย
ความไม่เข้าใจเรื่องทางจิตทางวิญญาณ
เรื่องแรกที่จะพูดกับคนเกลียดวัดก็คือเรื่องทางจิตทางวิญญาณ คนเกลียดวัดไม่เข้าใจเรื่องทางจิตทางวิญญาณ เพราะว่าเขารู้จักแต่วัตถุหรือเป็นวัตถุนิยม เห็นความสําคัญแต่เรื่องทางวัตถุ แม้จะพอใจในรสความสุขก็เป็นความสุขแต่ในทางวัตถุ เขาก็ไม่ยอมรับว่ามีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ มีความมืดมนอยู่ในส่วนนี้ ฉะนั้นจึงได้เกลียดวัดซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องทางจิตทางวิญญาณ
คําว่า “แสงสว่างทางวิญญาณ” ไม่มีความหมายอะไรสําหรับคนเกลียดวัด คําว่า “มหรสพทางวิญญาณ” ก็ไม่มีความหมายอะไร เว้นเสียแต่เขาจะเข้าใจไปว่ามหรสพนั้นคงจะสนุก แล้วก็อยากจะไปลองดู ครั้นมารู้รสมหรสพทางวิญญาณเข้าที่หนึ่งก็สั่นหัว เรื่องทางวิญญาณเข้ากันไม่ได้กับบุคคลที่เป็นวัตถุนิยม คนเกลียดวัดจึงไม่มีช่องทางที่จะรู้เรื่องทางวิญญาณ หรือมีแสงสว่างในทางวิญญาณ ฉะนั้น จึงไม่รู้เรื่องหนทางที่จะบรรลุมรรคผล นิพพาน เพราะว่าความรู้สึกของเขาไม่ต้องการ
เราจะบอกเขาว่า คนเราไม่ได้มีแต่ร่างกายอย่างเดียว แต่มีจิตใจด้วย คือเรื่องทางฝ่ายวิญญาณนั้นเองเรื่องทางกายก็ต้องการอย่างหนึ่ง เรื่องทางฝ่ายวิญญาณก็ต้องการอีกอย่างหนึ่ง ถ้าได้ไม่ครบทั้ง ๒ อย่างชีวิตนี้ ก็จะหาความสงบไม่ได้ จะดิ้นรนอยู่ในทางที่ยังขาดอยู่ ถึงแม้จะได้ทางกายจนอิ่มหมีพีมัน ในทางฝ่ายวิญญาณก็ต้องดิ้นรนกระวนกระวาย แม้จะอิ่มหมีพีมันอย่างไรก็หาความสงบสุขไม่ได้
ฉะนั้น ขอให้คนเกลียดวัด พิจารณาดูเสียใหม่ให้ดี ๆ ว่าถ้าคุณยังมีความเดือดร้อนระส่ําระสาย กระวนกระวาย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดอยู่แล้ว ก็ขอให้เข้าใจเถอะว่ายังขาดเรื่องทางวิญญาณ ลองมาสนใจศึกษาเรื่องทางวิญญาณ นับตั้งแต่เรื่อง กิเลส ตัณหา ไปจนถึงความยึดมั่นถือมั่น มีความทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น แล้วคุณก็คงจะหมดความทนทรมาน ที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรนั้น นี้เป็นเรื่องแรก ที่ว่าอยากจะพูดกับคนเกลียดวัด
ความไม่เข้าใจเรื่ิองศาสนา
คําว่า “ศาสนา” ไม่เพราะหูสําหรับผู้เกลียดวัดทั้งหลาย โดยที่แท้แล้วศาสนานั้น เป็นเครื่องกําจัดยาเสพติด ไม่ใช่เป็นยาเสพติดเสียเอง คนที่พูดว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าศาสนานั้นคืออะไร หรือไปถือเอาความเชื่อที่ไม่ใช่ศาสนามาเป็นศาสนา จนมองเห็นเป็นยาเสพติด ขอให้ลองพิจารณาดูเสียใหม่ว่า ศาสนาเป็นเครื่องกําจัดยาเสพติด ยาเสพติดที่แท้จริงนั้นคือกิเลส ที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็น ตัวตน – ของตน ทำให้เกิดมีความทุกข์เหลือประมาณ ซึ่งล้วนเกิดขึ้นมาจากความยึดมั่น ถือมั่น
ศาสนานี้มีหน้าที่กําจัดยาเสพติด แต่โดยเหตุที่ไม่มีความรู้เรื่องทางวิญญาณเสียเลย จึงไม่มองเห็นยาเสพติดชนิดนี้ ไม่รู้จักยาเสพติดชนิดนี้ ไม่มองเห็นโดยความเป็นโทษอันร้ายกาจ จึงไม่รู้จักประโยชน์อันแท้จริง ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องกําจัดยาเสพติด ถ้ามีความรู้ทางจิตทางวิญญาณกันเสียบ้าง ก็จะรู้จักความที่ตนกําลังติดยา เสพติดอยู่อย่างงอมแงมอยู่กับอุปาทานความยึดมั่นในเรื่องตัวตน – ของตน ตัวกู ของกู เป็นทุกข์อยู่อย่างที่จะเอาออกไปไม่ได้ แม้จะได้ยินได้ฟังอย่างไรก็ละความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเคยชินเหลือประมาณนั้นเสียไม่ได้ นี่แหละคือยาเสพติด ยิ่งไปกว่ายาเสพติด ซึ่งศาสนาสามารถที่จะขจัดยาเสพติดอย่างนี้ ขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าศาสนากันเสียใหม่
จะบอกให้คนเกลียดวัดทราบต่อไปอีกว่า พระศาสดาแห่งศาสนาทุกศาสนา และทุกองค์นั้น เป็นยอดกัลยาณมิตรของคนทั้งหลายในโลก และเป็นผู้นําในทางวิญญาณ ขอให้มองให้เห็นเถอะว่า เป็นมิตรแล้วก็จะต้องปรารถนาดี ศาสนาดีถึงที่สุดยิ่งจะเรียกว่าเป็นยอดแห่งมิตร ถ้าเป็นเรื่องสําคัญถึงที่สุดของมนุษย์ ก็ต้องเรียกว่ายอดกัลยาณมิตร
พระศาสดาแห่งศาสนาทุกศาสนาหวังดีต่อคนทุกคนในสากลโลก เพราะว่าพระศาสดาเหล่านั้นไม่มีตัวตนของตน ที่จะเห็นแก่ตน จิตจึงไปเห็นแก่ผู้อื่น และเพราะความที่ได้อบรมมาตามแบบของพระศาสดา จึงมีความหวังดีแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เสมอหน้ากันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง การแบ่งแยก เป็นฝักเป็นฝ่ายในระหว่างศาสนาเป็นเรื่องของคนยุคหลัง เป็นเรื่องที่ผิดพลาดของคนสมัยต่อ ๆ มา ที่ทําให้ศาสนาเป็นสิ่งแบ่งแยกจากมนุษย์ ไม่สมตามปรารถนาที่พระศาสดาแห่งศาสนาทุกองค์ต้องการให้คนทุกคนในสากลจักรวาล เป็นคนคนเดียวกัน อย่างที่มีโวหารในพระพุทธศาสนาของเราว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
คนเกลียดวัดจงสอดส่องให้ลึกลงไปถึงจิตใจของพระศาสดาแห่งทุกศาสนา ก็จะพบแต่ความหวังดี หวังที่จะช่วยเหลือทุกคน แล้วท่านก็มีปัญญารวมอยู่ด้วยกับความเมตตา จึงทําหน้าที่แห่งศาสดาของศาสนา คนเกลียดวัดจงรู้จักบุคคลที่เรียกกันว่าพระศาสดาในโลกนี้ ในลักษณะนี้เถิด ที่ว่าพระศาสดาทุกพระองค์ เป็นผู้นําในทางวิญญาณนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของพระศาสดา เพราะว่าเรื่องของศาสนา เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องทํามาหากินอย่างธรรมดาสามัญ แต่เป็นเรื่องความหลุดรอดในทางจิตทางวิญญาณ ให้คนที่มีกิน มีใช้ อิ่มหมีพีมันแล้ว หลุดรอดจากความทุกข์อีกชนิดหนึ่ง วิญญาณของเขาไปติดอยู่ในกิเลส ไปติดอยู่ในกองทุกข์ พระศาสดาเป็นผู้นําให้ออกมาเสียได้จากกองกิเลสและกองทุกข์ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้นําในทางวิญญาณ คนเกลียดวัดไม่เคยมองในแง่นี้ เขาไม่มองเห็นว่า พระศาสดาเป็นผู้นําในทางวิญญาณ ขอให้ลองมองกันเสียใหม่
อีกอย่างหนึ่งนั้น คนเกลียดวัดรู้จักพระศาสดาแต่ชนิดที่เป็นบุคคล ไม่รู้จักพระศาสดาที่แท้จริง ซึ่งมิใช่บุคคล ดังที่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า แม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระศาสดาตลอดไป คนเกลียดวัดไม่รู้จักพระศาสดาในความหมายอันลึกซึ้งเช่นนี้ รู้จักแต่บุคคลก็คิดเสียว่าพระศาสดานิพพานไปหมดแล้ว เขาก็ไม่นับถือพระศาสดา หากแต่ว่าพระศาสดาที่แท้จริงนั้นมิใช่บุคคล คือระบบธรรมะวินัยแห่งศาสนานั้น ๆ มีไว้อย่างไร มีอยู่อย่างไรนั้นคือพระศาสดาพระองค์จริง
ความไม่เข้าใจธรรมะ
เรื่องถัดไปก็คือเรื่องพระธรรม คนเกลียดวัดไม่ชอบธรรมะ อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าเขาเป็นคนเกลียดวัด ก็คือไม่รู้จักธรรมะ ก็เกลียดธรรมะได้ด้วยการสันนิษฐานเอา ฟังไม่ศัพท์จับเอามากระเดียดว่า ธรรมะนั้นจะเป็นเรื่องขัดคอชาวโลกไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จะบอกแก่คนเกลียดวัดว่า ธรรมะนั้นคือระบอบของความ ประพฤติ การกระทําให้ถูกต้องกับความเป็นมนุษย์ในทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตหรือเป็นด้านวิญญาณ ธรรมะคือสิ่งเหล่านี้เท่านั้นไม่มีอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะเกลียดธรรมะได้อย่างไร? เพราะว่าธรรมะนั้นคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้อง สําหรับมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาเอง
ธรรมะจึงหมายถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อธิบายให้คนเกลียดวัดฟังว่า ธรรมะนั้นคือเรื่องของธรรมชาติ คือเรื่องของกฎธรรมชาติ คือเรื่องหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ และคือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นสําเร็จ ขอให้ถือว่าธรรมะนั้นจะต้องมีในทุกสิ่ง เช่นว่าการศึกษาก็ดี การเมืองก็ดี การเศรษฐกิจก็ดี แม้ที่สุดแต่ความฉลาดเฉลียวเฉพาะคน มันก็ต้องมีธรรมะเข้าไปประคับประคองอยู่ทั้งนั้น การศึกษาที่ขาดธรรมะ ก็เป็นการศึกษาที่ทําลายโลก การเมือง การเศรษฐกิจที่ไม่มีธรรมะ ก็คือทําประเทศให้เสียหาย ความฉลาดส่วนบุคคลที่ไม่มีธรรมะ ก็ทําให้บุคคลกระทําสิ่งที่ไม่มีประโยชน์แก่ใคร แล้วก็เป็นโทษแก่ทุกคน ฉะนั้นจึงถือว่า ขาดธรรมะเสียเมื่อใดก็จะมีแต่สิ่งเลวร้าย หรือสภาพที่เลวร้ายอยู่โดยทั่ว ๆ ไป ธรรมะนั้นเป็นแสงสว่างทางวิญญาณ จิตใจอาศัยธรรมะเป็นแสงสว่าง ตะเกียงก็ไม่อาจเป็นแสงสว่างแก่จิตใจได้ แม้แต่ดวงอาทิตย์สักร้อยดวงพันดวง ก็ไม่อาจเป็นแสงสว่างแก่จิตใจได้ แต่กฎแห่งธรรมชาติหรือสัจจธรรมทั้งหลาย สามารถเป็นแสงสว่างแก่จิตใจ ให้จิตใจเดินไปถูกทาง
ความไม่เข้าใจปัญหาเรื่องศีลธรรม
คนเกลียดวัดเพราะเกลียดวัดจึงเกลียดธรรมะ เพราะเกลียดธรรมะก็เกลียดศีลธรรม เกลียดสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องทางศีลธรรม ฉะนั้นคนเกลียดวัดจึงไม่รู้เรื่องศีลธรรม หากแต่ว่าเรื่องศีลธรรมนั้นเป็นหัวใจของทุกเรื่องสําหรับความเป็นมนุษย์ ศีลธรรม แปลว่ามีความเป็นปกติเป็นธรรมดา พอเกิดความวุ่นวายผิดธรรมดา ก็เรียกว่าไม่มีศีลธรรม โดยการกระทําก็ดี โดยผลของการกระทําก็ดี โดยพื้นฐานทั่วไปก็ดี ถ้าไม่มีความปกติแล้วก็เรียกว่าไร้ศีลธรรม ถ้ามีความปกติก็เรียกว่ามีศีลธรรม ให้คนเกลียดวัดรู้จักศีลธรรมกันอย่างนี้ อย่าเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องละเมอเพ้อฝัน หากต้องการให้ทุกคนในโลกนี้อยู่กันเป็นปกติ เราจึงต้องมีระบบศีลธรรมสําหรับมาพูดกันมาสอนกัน และให้ชวนกันปฏิบัติ เมื่ิอใดหากขาดความถูกต้องเพียงพอทางศีลธรรม สังคมมนุษย์ก็เกิดวิกฤติการณ์กันทั่วไปในสังคมหรือทั่วไปทั้งโลก
เมื่อไม่รู้จักว่าศีลธรรมเป็นต้นเหตุแห่งความสงบ ก็ละเมอเพ้อฝันไปความเข้าใจแบบผิด ๆ ลัทธิคอมมิวนิสต์กล่าวอ้างว่าจะทำให้โลกนี้ให้สงบ พวกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็อ้างว่าจะทำโลกนี้ให้สงบ เราชาวพุทธบริษัทก็อ้างว่าจะช่วยกันทําโลกนี้ให้สงบ ทุกคนอ้างเหมือนกันในเบื้องต้น แต่แล้วพอถึงคราวต้องลงมือทำจริง ก็มีวิธีจัดการกันไปคนละอย่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ความสงบจึงยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจัดการไม่ถูก เพราะไม่ได้จัด หรือเพราะไม่อาจจะจัดการ เราทําให้มีศีลธรรมไม่ได้ก็เพราะว่าคนส่วนมากในโลกนี้ไม่รู้เรื่องศีลธรรม ซึ่งเมื่อเป็นคนเกลียดวัดด้วยแล้วก็ยิ่งไม่รู้จักศีลธรรม เมื่อไม่รู้จักศีลธรรมก็ทําให้มีศีลธรรมไม่ได้ มองสิ่งต่าง ๆ เป็นไปในเรื่องทางวัตถุเสียหมด แต่ศีลธรรมเป็นเรื่องทางจิตใจ
เดี๋ยวนี้ ในบ้านเมืองนี้ หรือบ้านเมืองไหน ประเทศไหนก็ดี ก็มองสิ่ง ๆ เป็นเรื่องทางวัตถุไปเสียหมด เพราะรู้จักกันแต่วัตถุ ที่เรียกว่าวัตถุนิยม ฉะนั้น จึงเห็นว่าความไม่สงบสุขนี้เป็นปัญหาทางวัตถุ จัดวัตถุให้ถึงที่สุดเถิด แล้วโลกนี้จะสงบขึ้นมาเอง นี้เป็นลัทธิวัตถุนิยมสุดโต่ง เช่นนี้ย่อมไม่ถูกตาม เพราะว่าเรื่องของศีลธรรม ไม่ใช่เรื่องทางวัตถุล้วน ๆ หากแต่เป็นเรื่องจิตใจเป็นส่วนใหญ่ พวกรู้จักแต่วัตถุ ก็มองแต่เรื่องทางวัตถุ เห็นว่าโลกนี้มีปัญหาทางเศรษฐกิจ มีปัญหาทางการเมือง มีปัญหาทั้งหมดนั้น แต่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหาเพราะศีลธรรม
เราเป็นพุทธบริษัทควรที่จะมองเห็นตามความรู้สึกของพุทธบริษัทว่า นี้เป็นปัญหาทางศีลธรรม อย่าหลับตาพูดว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจไปเสียหมด การที่เราอยู่กันไม่ได้ สมาคมกันไม่ได้ ความผาสุกเกิดขึ้นไม่ได้ นั้นเป็นปัญหาทางศีลธรรม มีคนพูดถึงขนาดว่าอาชญากรรมของอันธพาลที่ข่มขืนแล้วฆ่ามีต้นเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ เขาพูดกันอย่างนี้ที่กรุงเทพฯ เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาทางศีลธรรม คนไม่มีศีลธรรมจึงทําเช่นนั้น ไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจ
ขอให้คนเกลียดวัดทั้งหลายเหล่านั้นมองกันเสียใหม่ คือมองให้เห็นปัญหาทางศีลธรรม ว่าเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ก็จะแก้ปัญหาที่เป็นวิกฤตการณ์ทั้งหลายได้ ขอให้พิจารณาดูให้ดี ๆ จะได้ทําตัวให้มีศีลธรรม แล้วก็มาช่วยกันส่งเสริมศีลธรรมกันเสียใหม่