เจ้าชื่น สิโรรส เกิดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๙ เป็นบุตรของเจ้าอินทะปัต กับนางด้วง สิโรรส ญาติทางฝ่ายมารดาสืบเชื้อสายมาจากชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ญาติทางฝ่ายบิดาสืบเชื้อสายมาจากเจ้าผู้ครองนครเชียงตุง ชื่อว่าเจ้ากระหม่อม ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ว่า “สิโรรส” แปลว่า “บุตรแห่งเจ้ากระหม่อม” สมรสกับเจ้าสุริฉาย สิโรรส ธิดาของพระยาวิเศษฤาชัย (ม.ล. เจริญ. อิศรางกูร ณ อยุธยา) กับเจ้ากาบคำ ณ เชียงใหม่ มีบุตรธิดาทั้งหมด ๑๐ คน
เจ้าชื่นเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นครูใหญ่คนแรกของ “โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพ” ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่” ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ริเริ่มกิจการโรงบ่มใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียแห่งแรก ๆ ในภาคเหนือ โดยเจ้าชื่นได้อพยพครอบครัวหนีสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไปอยู่ที่อำเภอจอมทอง
เข้าสู่ทางธรรม
ในระหว่างที่เจ้าชื่นประกอบกิจการโรงบ่มยาสูบอยู่ที่อำเภอจอมทอง ได้พบกับหลวงปู่สิม พุทธจาโร ซึ่งได้เดินธุดงค์กับคณะมาจากภาคอีสาน เจ้าชื่นเกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงปู่สิม จึงได้สร้างเสนาสนะให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ขึ้นที่บ้านผาพัวะ และได้ส่งเสริมให้หลวงปู่สิมเทศน์อบรมญาติโยมอยู่เป็นประจำ ช่วงเวลานั้นเอง เจ้าชื่นได้เริ่มศึกษาค้นคว้าธรรมะ โดยได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พุทธสาสนา” และ “การปฏิบัติธรรม” ของท่านอาจารย์พุทธทาส แห่งสวนโมกข์ฯ ไชยา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความสนใจในทำงานเผยแผ่พุทธศาสนา ตามแนวทางแบบสวนโมกข์ฯ ภายหลังสมครามสงบลง เจ้าชื่นได้ย้ายครอบครัวเจ้ามาในเมืองเชียงใหม่ โดยเริ่มแรกได้เช่าบ้านของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล ขณะเดียวกัน ก็ได้ส่งบุญชายและบุญเขย เดินทางลงไปสืบข่าวเกี่ยวกับกิจการเผยแผ่ของสวนโมกข์ฯ และคณะธรรมทาน ก่อนที่จะเดินทางลงไปศึกษาดูงานที่ไชยาในอีก ๓ เดือนให้หลัง
เมื่อกลับมาถึงเชียงใหม่เจ้าชื่นก็มีความมั่นใจ ไม่หวั่นไหวไปทางอื่น แต่มุ่งศึกษาปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมะอย่างจริงจัง ต่อมาก็ได้พบวัดอุโมงค์ ซึ่งเป็นวัดร้างเชิงดอยสุเทพ เจ้าชื่นได้บูรณะให้เป็นวัดป่าที่สงบร่มเย็น และได้จัดตั้งพุทธนิคมอันเป็นองค์กรร่วมระหว่างพระกับฆราวาส ที่จะทำงานร่วมกัน อันเป็นแรงบันดาลใจจากคณะธรรมทานไชยา คณะพุทธนิคมได้ดำเนินงานเผยแผ่ธรรมะในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการแสดงธรรมแก่ประชาชน หรือพิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทาน เมื่อเจ้าชื่นและคณะก่อตั้งพุทธนิคมแล้ว ก็ได้มีจดหมายกราบเรียนไปถึงท่านอาจารย์พุทธทาส เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำงานเผยแผ่ธรรม ต่อมาเจ้าชื่นได้อ่านบทความเรื่อง “ภิกษุกับการเรี่ยไร” เขียนโดย ปทุมุตตรภิกขุ จากหนังสือพุทธสาสนาของคณะธรรมทาน เกิดความรู้สึกประทับใจในผู้เขียน รู้สึกถูกอัธยาศัย จึงได้มีจดหมายถึงท่านพุทธทาส ให้ช่วยนิมนต์ปทุมุตตรภิกขุขึ้นมาร่วมงานกับพุทธนิคมเชียงใหม่ ปทุมุตตรภิกขุ ซึ่งคือ พระมหาปั่น ปทุมุตตโร ได้เดินทางมาถึงเชียงใหม่ในวันสงกรานต์ ปี พ.ศ.๒๔๙๒ และได้เปลี่ยนชื่อของท่านในการทำงานเผยแผ่พระศาสนาว่า “ปัญญานันทภิกขุ”
เจ้าชื่นได้เช่าที่ของคุณบู่ทอง กิติบุตร เป็นเรือนแถวไม้ใกล้สี่แยกกลางเวียงเป็นที่ทำการของพุทธนิคม โดยจัดให้มีห้องสมุดและโรงเล็ก ๆ ด้านหลังปลูกเป็นศาลาใบตองตึงสำหรับเป็นที่แสดงธรรมขนาด ๕๐ ที่นั่ง ท่านปัญญานันทภิกขุแสดงธรรมอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง คือ วันอาทิตย์ เวลา ๙ โมงเช้า และวันพระเวลา ๒ ทุ่ม แสดงธรรมได้ไม่นานก็เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนชาวเชียงใหม่ ต่อมาไม่กี่เดือนศาลาก็ล้น จำนวนผู้ฟังที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนบางคืนนับได้กว่า ๒,๐๐๐ คน
การทำงานของพุทธนิคมในเรื่องการเผยแผ่ธรรมในรูปแบบของการปาฐกถาธรรม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของท่านปัญญานันทภิกขุและพุทธนิคม เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นลำปาง ลำพูน เชียงราย ไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศในที่สุด ต่อมาพุทธนิคมก็ได้ออก “หนังสือพิมพ์ชาวพุทธ” ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ โดยเป็นการนำปาฐกถาธรรมของท่านอาจารย์พุทธทาส และท่านปัญญานันทภิกขุ ตีพิมพ์แจกจ่ายแก่ผู้สนใจ และได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน
ในงานบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดอุโมงค์ เจ้าชื่นได้เริ่มงานบูรณะองค์พระเจดีย์และตัวอุโมงค์ซึ่งทรุดโทรมจากการทิ้งร้างไปเป็นเวลานาน สร้างเสนาสนะ วิหาร พระอุโบสถ์ โรงภาพปริศนาธรรม กุฏิ ตลอดถึงอนุรักษ์ รักษาป่าไม้ให้คงสภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ เพื่อให้วัดอุโมงค์เป็นสถานที่ที่สงบ ร่มเย็น เหมาะแก่การเป็นที่อยู่อาศัย ศึกษาและปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และบุคคลทั่วไป ตามแนวทางของท่านอาจารย์พุทธทาสสืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน