สร้างวัดให้เป็นอาราม สมนามว่าเป็นอุทยานของใจ

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ต่อมาได้เสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อย่างที่ทราบกันดี

จากนั้นก็เสด็จไปแคว้นมคธ โดยทรงแวะโปรดพวกนักบวชชฏิลก่อนเสด็จเข้าเมืองราชคฤห์ ตรงนี้เป็นจุดสําคัญ พระพุทธเจ้าจะทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่พระนครราชคฤห์ พระองค์เสด็จไปทรงแวะโปรดชฏิลก่อน เสร็จแล้วจึงเสด็จเข้าเมืองราชคฤห์ 

ที่เมืองราชคฤห์นั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงต้อนรับ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมแก่ที่ชุมนุมใหญ่ ที่มีราชาแห่ง

มคธคือพระเจ้าพิมพิสารเป็นประธาน เมื่อทรงแสดงธรรมจบแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงเกิดความเลื่อมใสมาก ทรงปรารถนาจะให้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ จึงขอถวายสถานที่กว้างใหญ่ที่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์จะได้พักอาศัย ทําให้เกิดวัดแรกในพระพุทธศาสนา สถานที่กว้างใหญ่นั้นเป็นพระราชอุทยาน ชื่อว่า “เวฬุวัน” คือป่าไผ่ พูดง่าย ๆ ว่าป่าไผ่ที่เป็นสวนหลวง เมื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าแล้ว อุทยานเวฬุวันก็กลายเป็นวัดเวฬุวัน เป็นอารามแรกคือเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา เรียกง่าย ๆ ว่าวัดเวฬุวัน

“เวฬุวันเป็นอารามแรก คือเป็นวัดแรก” หมายความว่า อารามเป็นคําเรียกวัด หรือว่าวัดเป็นอาราม

คำว่า “อาราม” ที่แปลว่าวัดนั้น ที่แท้ก็คือสวนนั่นเอง โดยมีคําแปลศัพท์ว่า ถิ่นสถานอันเป็นที่มายินดี หรือที่รื่นรมย์ และอารามคือสวนนั้นก็แยกเป็น ๒ อย่าง คือ คำว่า “บุปผาราม” หมายถึง สวนดอกไม้ กับ คำว่า “ผลาราม” หมายถึง สวนผลไม้ ส่วนอุทยานก็เป็นสวน คือเป็นอารามอย่างหนึ่ง แต่พูดตามที่ท่านชี้แจงไว้ว่าเป็นอารามที่ดกดื่นด้วยดอกไม้และผลไม้งามสะพรั่ง

จะพูดว่าอุทยานเป็นอารามหรือสวนที่ชวนชมแหล่งใหญ่ ก็คงจะพอได้ ดังที่ท่านอธิบายคําว่า “อุทยาน” ไว้ทําไมจึงเรียกว่าอุทยาน ท่านมีคําตอบให้โดยวิเคราะห์ ศัพท์ไว้ (คําบาลีเดิมว่า อุยฺยาน = อุ, ขึ้น + ยาน, ไป ส่วนคำว่า อุทยานเป็นรูปคําที่มาจากภาษาสันสกฤต) อุทยาน แปลว่า “ถิ่นสถานที่ประชาชนแหงนหน้าดูเดินเล่นเชยชมไป”

ทําไมต้องแหงนหน้าดูเดินเล่นเชยชมไป ท่านอธิบายความว่า ในอุทยานสวนใหญ่นี้ มีต้นไม้นานาพรรณ งามสะพรั่งด้วย ดอกไม้สวย ๆ หลากสี และมีผลไม้ต่างรูป ต่างร่าง ต่างขนาด ดกดื่นมากมาย คนเข้าไปแล้วก็ตื่นตาตื่นใจ ได้แต่แหงนมอง ขึ้นไปบนต้นไม้ แหงนดูผลไม้ แหงนชมดอกไม้ แถมมีนกน้อย นกใหญ่โผผินบินขึ้นลงร้องกันไปมา ทั้งกระรอก กระแตโลดเต้นวิ่งไล่กันน่าทัศนา ก็ได้แต่แหงนหน้าตามมอง ตามชมกันเพลิน จนกระทั่งว่าเดินไปไม่ได้ดูทางดูถนนกันเลย

สมัยนี้ ท่านที่ใจงามก็อาจจัดสร้างให้มีอุทยานอัน รื่นรมย์สมความหมายดังได้ว่ามาเวฬุวัน ที่เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนานั้น เดิมเป็นพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระพุทธเจ้าได้รับถวายเวฬุวันอุทยานแล้ว อุทยานนั้นก็กลายเป็นวัด และในคราวนั่นเอง พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้พระมีวัดอยู่ เรียกว่าเป็นพุทธบัญญัติที่ทรงอนุญาตให้มีวัด เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายเวฬุวันเสร็จ และเสด็จกลับไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “อนุชานามิ ภิกฺขเว อาราม” แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอาราม

มีจุดสังเกต จะเห็นว่าคําแรกคําเดิมที่เรียกวัด คือ “อาราม” หรือว่าวัดที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้คือ อาราม หรือว่าสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เป็นวัด วัดก็เป็นอาราม อารามก็คือสวนซึ่งเป็นที่อยู่ของต้นไม้ เต็มไปด้วยต้นไม้ เป็นที่ร่มรื่น คำว่า “อาราม” เป็นคํานาม สํานวนเก่าแปลมาว่าสถานที่อันเป็นที่มายินดี คือที่รื่นรมย์ คู่กับคุณศัพท์ว่า “รมณีย์” ซึ่งในคําประพันธ์มักใช้ให้สั้นว่า “รัมม” (รมย์)

รวมความว่า วัดคืออาราม เป็นรมยสถานอันรมณีย์ที่น่ารื่นรมย์ ส่วนในคัมภีร์ก็อธิบายอีกยืดยาวว่า รมณีย์เป็นอย่างไร เช่นว่า มีสายน้ําเย็นใส มีร่มไม้สดชื่น มีพื้นที่ชวนเดินชม (พร้อมด้วยสายลมแสงแดดพอดี) เป็นที่สะอาดปลอดภัย ฯลฯ พร้อมกันนี้ สถานที่ที่จะเป็นอารามยังต้องมีคุณลักษณะประกอบอีก ซึ่งท่านผู้ถวายไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าพิมพิสาร หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น ได้พิจารณาให้พร้อมก่อน เช่นว่า เป็นที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักจากหมู่บ้าน สะดวกแก่การคมนาคม ผู้คนที่ประสงค์ไปเข้าถึงได้ กลางวันไม่วุ่นวาย กลางคืนสงัด ปราศเสียงอึกทึก คนไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การทํากิจหน้าที่ส่วนตัว ควรเป็นที่หลีกเร้นได้

จากรุกขมูลคือโคนไม้ พระได้มาอยู่ในกุฎี 

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเป็น วัดแล้ว พระพุทธศาสนาก็เริ่มประดิษฐานในเมืองราชคฤห์ ที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ เวลานั้นพระสงฆ์มีวัดอยู่ แต่ยังไม่มีกุฏิ ไม่มีเสนาสนะที่จะอยู่ พระที่บวชในสมัยแรก ล้วนแต่บวชกับพระพุทธเจ้าทั้งนั้น จึงแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ตั้งอยู่ในหลักพระธรรมวินัย และผู้ที่มาขอบวชก็มีจํานวนมากขึ้น ๆ แต่ท่านก็อยู่ในวัด ในอารามหรือตามป่าเขาโดยไม่มีกุฎี

ต่อมา เศรษฐีเมืองราชคฤห์ได้เห็นพระภิกษุทั้งหลายที่เป็นพุทธสาวก มีลักษณะอาการน่าเลื่อมใส ไม่ว่าจะเดิน จะ หยุดยืน จะนิ่ง จะพูดจา จะเหลียว จะดู จะเคลื่อนไหว จะทําอะไร ทุกอิริยาบถ ล้วนสงบงาม ชวนชื่นชม ท่านจึงเกิดความ เลื่อมใสมาก แต่ในเวลาเช้าเมื่อท่านตื่นขึ้นมา ท่านเห็นพระภิกษุเหล่านั้น บ้างเดินออกมาจากป่า บ้างเดินออกมาจากถ้ํา บ้างเดินลงมาจากภูเขา บ้างลุกเดินมาจากโคนต้นไม้ บ้างออกมาจากป่าช้า แม้แต่อยู่กลางแจ้ง หรือมาจากลอมฟางก็มี

ท่านเศรษฐีราชคฤห์เห็นพระไม่มีที่อยู่ ก็มาคํานึงว่าพระท่านมีความดีงามน่าเลื่อมใส ไยจะปล่อยให้ท่านอยู่ลําบาก จึงอยากให้ท่านมีกุฏิที่อยู่ ท่านเศรษฐีคิดดังนี้แล้ว วันหนึ่งเมื่อได้โอกาสจึงเข้าไปหาเหล่าพระภิกษุ บอกให้ทราบว่าท่านปรารถนาจะถวายที่อยู่อาศัย โดยจะสร้างวิหาร คือกุฏิถวายจะได้ไหม พระภิกษุเหล่านั้นเคร่งครัดมาก จึงตอบว่า พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงอนุญาต จะต้องให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตก่อนจึงจะมีที่อยู่อาศัยได้

เศรษฐีก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นท่านช่วยกราบทูล พระพุทธเจ้าได้ไหมว่า ผมมีความประสงค์จะสร้างกุฏิถวาย แก่บรรดาพระภิกษุ พระภิกษุเหล่านั้นจึงไปกราบทูลคําขอ ของท่านเศรษฐีแด่พระพุทธเจ้า เมื่อพระไม่ได้ขวนขวาย แต่ญาติโยมมีศรัทธาขอถวายก็ทรงอนุญาต เป็นจุดเริ่มต้นให้พระมีที่อยู่อาศัย เรียกว่า เสนาสนะ ๕ อย่าง ซึ่งเป็นหลักสืบมา โดยถือเป็นอดิเรกลาภ คือเป็นของได้ส่วนเกิน ของแถมหรือส่วนเพิ่มพิเศษ

คำว่า “เสนาสนะ” เป็นคํากลางกว้าง ๆ ใช้เรียกที่อยู่ที่พักอาศัยได้ทั่วไป ถ้าแยกศัพท์ให้ดู ก็บอกว่ามาจาก เสน (ที่นอน) + อาสนะ (ที่นั่ง) จึงมีความหมายว่าเป็นที่นอนที่นั่ง แต่พูดลําดับแบบไทยว่าที่นั่งที่นอน เสนาสนะทั้ง ๕ ชนิด ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ได้แก่ วิหาร (เรือน, กุฏิ, ที่พักอาศัยสามัญ) อัฒโยค (เรือนมุงแถบเดียว) ปราสาท (เรือนชั้น, ในภาษาไทย ปราสาทมีความหมายขยายไปไกล) หัมมิยะ (เรือนโล้น) คุหา (ถ้ำ)

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้ว พระก็แจ้งให้ท่านเศรษฐีทราบ ท่านเศรษฐีคงดีใจมาก ได้สร้างกุฏิ (วิหาร) ถวายพระวันเดียว ๖๐ หลัง แล้วเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอนิมนต์พระองค์พร้อมทั้งพระสงฆ์ไปฉันที่นิเวศน์ของตนในวันรุ่งขึ้น ในวันต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยเสร็จภัตกิจแล้ว ท่านเศรษฐีก็กราบทูลเรื่องราวและถามวิธีปฏิบัติในการถวาย แล้ว ได้ประดิษฐานวิหารเหล่านั้น เพื่อสงฆ์ในจาตุรทิศทั้งที่มาแล้วและยังไม่มา (วิหาเร อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส สงฺฆสฺส ปติฏฐาเปสิ) ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสบอก พระพุทธคาถาอนุโมทนาวิหารทานนี้น่าสนใจมาก เป็นคำสอนธรรมให้พระและโยมรู้เข้าใจและประพฤติปฏิบัติ วางใจใช้ประโยชน์ในเรื่องกุฏิวิหารที่อยู่อาศัยให้ถูกต้อง ไม่ใช่แค่อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ แต่ให้เป็นเครื่องนําชีวิตก้าวไปกับความเจริญงอกงามในธรรม ลุถึงประโยชน์และความสุขจนถึงชั้นสูงสุด

ปัจจุบันนี้ เมื่อบวชพระเสร็จ คือจบพิธีอุปสมบท พระอุปัชฌาย์จะบอกอนุศาสน์ เป็นคําสอนแรกก่อนออกจาก โบสถ์ ว่าพระจะเป็นอยู่ด้วยปัจจัยสี่ ที่จะมีจะได้อะไรบ้างอย่างไร เฉพาะในข้อว่าด้วยเสนาสนะคือที่อยู่อาศัย พระ อุปัชฌาย์ก็จะบอกไปตามลําดับว่า เสนาสนะหลักที่เป็นพื้นฐานเดิมของพระคือ รุกขมูล แปลว่าโคนไม้ แล้วพิเศษจากนั้นคืออดิเรกลาภ ก็ได้แก่เสนาสนะ ๕ อย่าง พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเพิ่มให้ 

สร้างกุฎี ในถิ่นที่เป็นรมณีย์

จากราชคฤห์ในมคธ พระพุทธศาสนาแผ่ไปอย่างรวดเร็ว ปีต่อมาชาวโกศลรัฐก็ต้อนรับพระรัตนตรัยเข้าสู่พระ นครสาวัตถี ซึ่งเป็นนครหลวงของรัฐมหาอำนาจคู่กับมคธรัฐ และวัดที่ถือกันว่าสําคัญที่สุดก็ได้เกิดขึ้นที่สาวัตถีนั้น เรื่องดําเนินมาว่า เศรษฐีเมืองราชคฤห์ที่สร้างที่อยู่ถวายพระนั้น มีน้องเขยเป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล ชื่อว่าอนาถบิณฑิก ซึ่งเดินทางมาที่เมืองราชคฤห์ตามโอกาส

คราวนี้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีกิจธุระบางอย่าง จึงเดินทางมายังเมืองราชคฤห์และพักที่บ้านของท่านเศรษฐี

เมืองราชคฤห์อย่างเคย ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า จากเศรษฐีราชคฤห์แล้ว ก็ดีใจและตื่นเต้นมากอยากจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทันที แต่เศรษฐีราชคฤห์แนะนําให้รอไปในวันรุ่งขึ้น ท่านอนาถบิณฑิกคืนนั้นใจเร่งนอนรอ ตื่นแล้วตื่นอีก ลุกขึ้นมา ๓ ครั้ง ยังไม่ทันรุ่ง ก็เดินออกจากนิเวศน์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่าสีตวัน ฟังธรรมได้เป็นโสดาบัน และขอเป็นเจ้าภาพจัดถวายภัตแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ที่นิเวศน์ของเศรษฐีราชคฤห์ในวันรุ่งขึ้น หลังจากถวายภัตแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ กราบทูลขอนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี

จากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน เนื่องจากเป็นผู้มีมิตรสหายมาก เป็นคนที่เขาเชื่อถือ ระหว่างทางก็บอกข่าวว่าได้นิมนต์พระพุทธเจ้าแล้ว จะเสด็จมาทางนี้ ขอให้สร้างอารามสร้างกุฏิ วิหารถวายทานกันเถิด จึงเกิดเป็นข่าวใหญ่ ผู้คนเตรียมการกันมากมาย

พอกลับไปถึงเมืองสาวัตถี อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็มองหาที่เหมาะที่จะสร้างวัด ท่านก็ใช้หลักการพิจารณาที่ว่า ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักจากหมู่บ้าน สะดวกแก่การคมนาคม ผู้คนที่ประสงค์ไปเข้าถึงได้ กลางวันไม่วุ่นวาย กลางคืนสงัด ปราศเสียงอึกทึก คนไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การทํากิจหน้าที่ส่วนตัว ควรเป็นที่หลีกเร้นได้ จึงไปเจอที่เหมาะใจเป็นอุทยานของราชกุมารพระนามว่า “เชต” เรียกง่าย ๆ ว่าสวนเจ้าเชต ก็ไปเจรจาขอซื้อจากเจ้าเชต ฝ่ายเจ้าเซตนั้นใจไม่ยอมขาย แต่เมื่อจะบอกตรง ๆ ว่าไม่ขายแน่ ก็พูดออกมาคําหนึ่งที่เป็นแง่ให้เอาไปตีความมัดตัวได้ 

ตามที่ท่านบันทึกไว้เป็นคําบาลี ซึ่งเจ้าเชตคงมุ่งให้หมายความว่า “ไม่ได้หรอก ถึงจะเอาเงินโกฏิเหรียญมาปูให้ เต็มพื้นที่” แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็แปลความหมายไปได้ว่า “ไม่ได้หรอกต้องถึงขั้นเอาเงินโกฏิเหรียญมาปูให้เต็มพื้นที่” อนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่าที่เจ้าเชตพูดนั้นเป็นการตีราคา แต่เจ้าเชตว่านั่นคือบอกว่าไม่ขาย ตกลงกันไม่ได้ จนต้องเอาเรื่องไปให้มหาอํามาตย์ผู้ตัดสินคดีชี้ขาด มหาอํามาตย์ตัดสินว่าคําพูดของเจ้าเซตเป็นการตีราคาในการซื้อขาย ต้องยอมขายให้แก่ผู้ที่สู้ราคา

เมื่อตกลงอย่างนั้นแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ให้เอาเกวียนขนเหรียญมาเทและเกลี่ยจะให้เต็มพื้นที่ พอดีว่าเงินที่ขนมาเที่ยวนั้นยังขาด เหลือที่ว่างอยู่ส่วนหนึ่งใกล้ซุ้มประตู ท่านเศรษฐีก็บอกให้คนไปขนเงินมาอีก ฝ่ายเจ้าเชตคิดว่าไหน ๆ จะต้องขายที่ไปแล้ว ก็ขอให้มีส่วนร่วมอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าเชตเลยขอให้ท่านอนาถบิณฑิกเว้นที่ตรงนั้นว่างไว้ โดยถือว่าเป็นที่ที่เจ้าเชตยกให้ ไม่ต้องซื้อ เจ้าเซตจึงสร้างซุ้มประตูไว้ที่ ณ ตรงนั้น

เมื่อได้ที่มาแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เริ่มงานสร้างวัด โดยสร้างวิหารทั้งหลาย (กุฏิ) สร้างบริเวณซุ้มประตู อุปัฏฐานศาลา (หอฉัน ซึ่งเป็นที่ประชุมพูดธรรมฟังธรรมด้วย) โรงไฟ กัปปิยกุฎี วัจกุฎี ที่จงกรม โรงจงกรม บ่อน้ํา ศาลาบ่อน้ํา เรือนไฟ ศาลาเรือนไฟ สระโบกขรณี มณฑป พระเชตวันนี้นับว่าเป็นวัดแรกที่ตั้งวัดโดยมีเสนาสนะ ทั้งที่อยู่อาศัยและที่ทํากิจต่าง ๆ ไว้พร้อม (ต่างจากวัดแรกคือเวฬุวัน ซึ่งเป็นอุทยาน ไม่มีวิหารและบรรดาเสนาสนะ) ต่อมา จากเมืองราชคฤห์ พระพุทธเจ้าก็เสด็จออกจาริก ไปประทับที่เวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี จากเวสาลีก็เสด็จจาริกต่อมาตามลําดับ ในที่สุดก็ถึงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล และได้ประทับที่สวนเจ้าเชต คือวัดเชตวัน อันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น และท่านเศรษฐีก็มาเข้าเฝ้า นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปฉันที่นิเวศน์ของตน รุ่งขึ้น เมื่อถวายภัตเสร็จแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐี กราบทูลถามวิธีปฏิบัติในการถวายพระเชตวัน และได้ประดิษฐานวิหารเหล่านั้น เพื่อสงฆ์ในจาตุรทิศทั้งที่มาแล้วและยังไม่มา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสบอก เหมือนในคราวที่เศรษฐีเมืองราชคฤห์ถวายกุฏิพระ

ตามที่เล่ามานี้ จะสังเกตได้ว่า ในเรื่องวัดวาอาราม กุฏิ วิหาร ที่พักอาศัยของพระสงฆ์ ที่จะสร้างจะถวายกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นพุทธพจน์หรือคําบรรยายทั่วไป มีคําพระที่ปรากฏบ่อยๆ เรื่อยๆ ว่า “อาราม” “รมณีย์” “รื่นรมย์” “รัมม” “รมย์” “น่าชื่นชมยินดี” เรื่องนี้มีความหมายสําคัญ ดังได้บอกแล้วว่า “อาราม” ซึ่งแปลว่าสวนนั้น เป็นคําหลักดั้งเดิม คําแรกในพุทธบัญญัติที่ทรงอนุญาตให้พระมีวัดอยู่ และอารามอันเป็นที่ศึกษาภาวนานั้น ก็มีความหมาย ว่าเป็นที่มาแล้วรื่นรมย์ เป็นที่ชื่นชมยินดี เป็นรมณีย์ พูดสั้นๆ ว่า “รัมม” หรือ “รมย์”

ภาวะรมณีย์ ที่รื่นรมย์นี้ เป็นบรรยากาศที่พระพุทธศาสนาถือเป็นสําคัญ อันเกื้อหนุนชีวิตแห่งการศึกษาภาวนา ปรากฏเด่นอยู่ในคำสอนทั่วไป แต่เวลานี้เลือนลืมกันหรือมองข้ามไป จึงควรกลับมาสนใจ และรื้อฟื้นให้คืนกลับขึ้นมามีอยู่คู่พระพุทธศาสนา

“รมณีย์” คือบรรยากาศของพระพุทธศาสนา 

เรื่องบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมอันเป็นรมณีย์ ได้พูดและเขียนเน้นย้ําบ่อยในระยะนี้ โดยคิดว่าชาวพุทธควรตื่นตัวขึ้นมาใส่ใจ ในที่นี้ขอรวบรัดโดยยกเอาความที่เคยอธิบายไว้แล้ว มาเล่าเป็นตัวอย่าง โดยอ้างคําตรัสของพระพุทธเจ้า กับเรื่องราวของพระมหาสาวกอันดับต้น ๆ ๒ รูป มาบอกไว้สั้นๆ

เริ่มแรกบอกว่า ถิ่นรมณีย์เป็นที่ตั้งต้นหรือเป็นที่กําเนิด ของพระพุทธศาสนา ตามเรื่องราวที่ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชาแล้ว หลังจากได้ทรงเรียนรู้ลัทธิของฤษี ดาบสและทดลองปฏิบัติเพียงพอแล้ว ได้ตกลงพระทัยที่จะดําเนินในวิถีแห่งการค้นคว้าของพระองค์เอง และได้เสด็จดําเนินไปจนถึงตําบลอุรุเวลาเสนานิคม จึงทรงพบถิ่นดีอัน เหมาะที่จะทรงบําเพ็ญเพียร คือดําาเนินสิกขา หรือเจริญภาวนา ดังได้ตรัสเล่าไว้เองว่า

“ภูมิสถานถิ่นนี้ เป็นที่รมณีย์หนอ (“รมณีโย วต ภูมิภาโค) มีไพรสณฑ์ร่มรื่น น่าชื่นบาน ทั้งมีแม่น้ํา ไหลผ่าน น้ําใส เย็นชื่นใจ ชายฝั่งท่าน้ำก็ราบเรียบเป็นรมณีย์ ทั้งโคจรคามก็มีอยู่โดยรอบ เป็นสถานที่เหมาะจริงหนอที่จะบําเพ็ญเพียร สําหรับกุลบุตรผู้ต้องการทําความเพียร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแลได้นั่งลงแล้ว ณ ที่นั้น โดยตกลงใจว่า ที่นี่ละ เหมาะที่จะบําเพ็ญเพียร”

ที่อุรุเวลา ณ ถิ่นอันเป็นรมณีย์นี้ ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ ได้ตรัสรู้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดตั้งต้นของพระพุทธศาสนา ดังความ ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๔ (วินย.๔/๑/๑) ว่า

“โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่อุรุเวลา ณ โพธิรุกขมูล ใกล้ฝั่งแม่น้ํา เนรัญชรา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งคู่บัลลังก์เดียว ณ โพธิรุกขมูล เสวยวิมุตติสุขตลอดสัปดาห์”

นี่คือเหตุการณ์สําคัญที่พระโพธิสัตว์ประทับในร่มโพธิพฤกษา ณ ริมฝั่งแม่น้ําเนรัญชรา อันมีบรรยากาศเป็นรมณีย์ ในถิ่นนิคมอุรุเวลา ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและหลังเสวยวิมุตติสุข ณ ที่นั้นแล้ว การประกาศพระพุทธศาสนาก็เริ่มต้น จึงได้บอกว่าถิ่นรมณีย์นี้ เป็นที่เกิดของพระพุทธศาสนา

หรือก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานเพียง ๓ เดือน คือคราวที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร พระพุทธเจ้าแม้จะประชวรหนักแล้ว ก็ได้ตรัสให้โอกาสแก่พระอานนท์ที่จะทูลอาราธนาให้ดํารงพระชนม์ต่อไป เมื่อตรัสแล้ว พระอานนท์เงียบอยู่จึงได้ตรัสว่าทรงปลงพระทัยแล้วว่า จากนั้นอีก ๓ เดือนจะปรินิพพาน พระดํารัสประทานโอกาสนั้น เริ่มด้วยตรัสถึงเมือง ภูเขา ถ้ํา เงื้อมผา ป่า วัด เจดียสถาน (นับได้ ๑๘ แห่ง) ว่าเป็นที่รมณีย์ เช่น เขาคิชฌกูฏ วัดที่บ่อน้ําร้อนตโปทาราม เวฬุวัน วัดอัมพวันของหมอชีวก แล้วตรัสว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเจริญ อิทธิบาท ๔ เป็นอย่างดีแล้ว หากประสงค์ จะอยู่ตลอดกัป (อายุกัป) หรือเกินกว่านั้น ก็ได้ การที่ตรัสโดยทรงยกรมณียสถานทั้งหลายเป็นข้อปรารภ ก็แสดงอยู่ในตัวถึงความสําคัญของความเป็นรมณีย์ ถึงแม้พระอานนท์จะไม่ทันนึกที่จะอาราธนา ก็เป็นการเตือนพระโยม บรรดาผู้ดําเนินในวิถีพุทธให้คํานึงใส่ใจในภาวะรมณีย์

หรือเหตุการณ์เมื่อครั้งพระมหากัสสปะอยู่ในป่า บนภูเขา ยามเช้าเดินลงไปบิณฑบาต ครั้นกลับมาเดินขึ้นเขา ก็ชื่นชมรมณีย์ทั้งบนต้นไม้ ทั้งข้างริมทางไปตลอด ดังมีบันทึกคาถาของท่านไว้ใน พระไตรปิฎก เช่นว่า

“พระมหากัสสปะ ผู้บําราศอุปาทาน ไร้อาสวกิเลส ทํากิจเสร็จแล้ว กลับจากบิณฑบาต ขึ้นสู่ภูเขา เอาจิตพินิจธรรม ภาคพื้นภูผา เป็นที่ร่าเริงใจ ต้นกุ่มมากมายเรียงรายเป็นทิวแถว มีเสียงช้างร้องก้องกังวาน เป็นรมยสถาน ถิ่นขุนเขาทําใจเราให้รื่นรมย์ ขุนเขาสีทะมึนดุจเมฆ งามเด่น มีธารน้ําเย็นใสสะอาด ดารดาษด้วยผืนหญ้าแผ่คลุม มีสีเหมือนแมลงค่อมทอง ถิ่นขุนเขาทําใจเราให้รื่นรมย์

ยอดภูผาสูงตระหง่านเทียมเมฆ เขียวทะมึน มองเห็นเหมือนเป็นปราสาท กัมปนาทด้วยเสียงช้างคํารนร้อง เป็นที่ร่าเริง ถิ่นขุนเขาทําใจเราให้รื่นรมย์… แดนดอยถิ่นไพร ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน มีแต่หมู่เนื้อเสพอาศัย ตื่นตาไปด้วยหมู่นกนานาหลากหลาย ถิ่นขุนเขาทําใจเราให้รื่นรมย์…”