วัดอุโมงค์และสวนพุทธธรรม สองชื่อนี้เป็นชื่อเรียกสถานที่ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ของ “พุทธบริษัท” เชียงใหม่แห่งเดียวกัน แต่มีความหมายต่างกัน วัดอุโมงค์ (อุโมงค์เถรจันทร์) เป็นชื่อเรียกวัดเก่าแก่ ที่ “พญากือนาธรรมมิกราช” ทรงสร้างอุโมงค์ขึ้นถวายเพื่อให้พระมหาเถรจันทร์ ผู้ชำนาญแตกฉายในพระไตรปิฎกพำนักอาศัย วัดอุโมงค์นี้ หมายเอาเฉพาะบริเวณสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งมีกำแพงอิฐปรากฎอยู่ทั้งสี่ด้าน ด้านตะวันออกจากขอบสระใหญ่ด้านทางทิศเหนือ ตรงไปทางเหนือโรงพิมพ์ปัจจุบันจรดกำแพงอิฐพอดี ยาวประมาณ ๑๐๐ วา ด้านเหนือจากแนวกำแพงเหนือโรงพิมพ์ปัจจุบันทางทิศตะวันตก จนถึงขอบสระหลังวัดอุโมงค์ ยาวประมาณ ๓๐๐ วา ด้านตะวันตกจากขอบสระแนวกำแพงด้านเหนือถึงขอบสระใหญ่ใต้พระเจดีย์ ยาวประมาณ ๓๐๐ วา ด้านใต้จากขอบสระหลังพระเจดีย์ตรงไปทางตะวันออกจรดกำแพงทิศตะวันออกหน้าพระอุโบสถ ยาวประมาณ ๓๐๐ วา มีพระอุโบสถขนาดย่อมตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีพระเจดีย์ใหญ่แบบลังกาวงศ์และอุโมงค์ (ถ้ำ) มีทางเข้า ๒ ทาง ตั้งอยู่ตลอดแนวเขตวัดด้านตะวันตกและมีศาลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากหน้าอุโมงค์ไปประมาณ ๑ เส้น คิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๕ ไร่
สวนพุทธธรรม เป็นชื่อใหม่ที่ภิกษุปัญญานันทะ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ประธานสงฆ์วัดอุโมงค์ ในสมัยนั้น (พ.ศ.๒๔๙๒ – ๒๕๐๒) ตั้งขึ้นเพื่อเรียกบริเวณป่าผืนใหญ่ที่ปกคลุมวัดร้างโบราณ ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่ ที่พุทธบริษัทชาวเชียงใหม่จัดขึ้นเป็นที่จำวัดของพระภิกษุ – สามเณร, อุบาสก – อุบาสิกา และผู้ที่แสวงหาความสงบ พื้นที่ซึ่งเรียกว่าสวนพุทธธรรมนั้นกว้างขวาง เป็นการรวมเอาวัดเวฬุกัฏฐาราม (แปลว่า วัดไผ่ ๑๑ กอ) ซึ่งพญามังรายมหาราชทรงสร้างถวายเป็นที่พำนักของพระมหากัสสปเถระชาวลังกา ซึ่งรวมเข้าอีก ๓ วัดเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด
ก่อนศึกษาประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม ควรทราบถึงธรรมเนียมการสร้างเมืองของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณที่เมื่อทรงสร้างพระราชวังและเมืองหลวงเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญที่จะต้องทรงสร้างเป็นอันดับสองคือวัดสำคัญประจำเมืองทั้งสี่ทิศและวัดพิเศษภายในพระราชวังสำหรับเป็นที่สักการะบูชาของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อีก ๑ วัดเสมอ ความจริงเรื่องนี้หาดูได้ตามเมืองหลวงของไทยสมัยโบราณ เช่น เชียงแสน, สุโขทัย, อยุธยา, ลพบุรี, นครศรีธรรมราช ฯลฯ และกรุงเทพมหานคร อันเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน การที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนถือว่าการสร้างวัดเป็นสิ่งสำคัญอันดับสองรองจากการสร้างวังนั้น แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าบรรพชนของเรามั่นคงในศีลธรรม เป็นผู้ที่มีน้ำใจสูง เห็นความเป็นคุณอันวิเศษของพระพุทธศาสนาอย่างแจ่มชัด ยึดเอาพระพุทธศาสนาเป็นสรณะอันสูงสุดของชีวิต และยกย่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติตั้งแต่ต้น จนกลายเป็นความรู้สึกฝังใจว่า ชาติไทยกับพระพุทธศาสนาแยกจากกันไม่ได้มาจนทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์ล้านนากล่าวไว้ว่า เมื่อพญามังรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ตกลงพระทัยที่จะสร้างเมืองใหม่ขึ้นบริเวณป่าเลาคา (ต้นเลาและต้นหญ้าคา) ระหว่างแม่น้ำปิงกับดอยสุเทพแล้ว ได้แต่งราชบุรุษถือพระราชสาส์นไปทูลเชิญพระสหายร่วมน้ำสาบาน ทั้งสองคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เจ้าผู้ครองนครสุโขทัยและพญางำเมือง เจ้าผู้ครองนครพะเยา มาปรึกษาการสร้างเมืองที่เวียงเหล็ก (ที่ตั้งวัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) หลังจากที่สามกษัตริย์ได้ตกลงกันว่า ควรสร้างราชธานีใหม่ กว้าง ๘๐๐ วา ยาว ๑,๐๐๐ วา เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวจากด้านตะวันออกไปสู่ด้านตะวันตก แล้วจึงทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันพฤหัสบดี เดือนแปดเหนือ (เดือนหกใต้) ปีวอก พ.ศ. ๑๘๓๙ ทำการฝังหลักเมืองแล้ว ใช้ราษฏร ๕ หมื่นคน ช่วยกันก่อสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน ราษฏรอีก ๔ หมื่นคน ช่วยกันขุดคูเมืองและก่อกำแพง สร้างอยู่เป็นเวลาราว ๔ เดือนก็แล้วเสร็จ หลังจากทำการฉลองเมืองใหม่เป็นการใหญ่ ๗ วัน ๗ คืนแล้ว กษัตริย์ทั้งสามก็พร้อมใจกันตั้งนามเมืองใหม่ว่า “เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่”
หลังจากสร้างราชธานีเรียบร้อยแล้ว พญามังรายมหาราชได้ทรงสร้างวัดสำคัญฝ่ายคามวาสี (วัดสำหรับภิกษุที่ชอบอยู่ในเมืองเพื่อเรียนปริยัติธรรม) ประจำเมืองทั้งสี่ทิศ พร้อมทั้งวัดภายในพระราชวังด้วย และทรงสร้างวัดฝ่ายอรัญญวาสี (วัดสำหรับภิกษุที่เรียนปริยัติธรรมแล้ว ต้องออกไปแสวงหาความสงบในป่า บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน) บริเวณชายพระนครขึ้นหลายวัด เช่น วัดเก้าถ้าน เป็นต้น
พญามังรายมหาราช ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพระภิกษุ – สามเณร ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญญวาสีด้วยปัจจัยสี่ให้มีกำลังศึกษาและปฏิบัติพระธรรมวินัยตามความสามารถแห่งตนอย่างดียิ่งทั้งสองฝ่าย กาลต่อมาพระองค์ได้ทรงทราบว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระสหายผู้ครองนครสุโขทัย ได้ส่งราชฑูตไปนิมนต์พระสงฆ์จากลังกาที่มาอยู่นครศรีธรรมราชมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเมืองสุโขทัย ปรากฏเกียรติคุณว่า พระสงฆ์ลังกาแตกฉานในคัมภีร์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงเกิดพระราชศรัทธาเลื่อมใส ประสงค์จะนิมนต์พระลังกามาเผยแผ่พระศาสนาในเมืองเชียงใหม่บ้าง จึงได้ส่งราชฑูตไปนิมนต์พระสงฆ์ลังกาจากพ่อขุนรามคำแหงมา ๕ รูป พระสงฆ์ลังกาทั้ง ๕ รูป อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธานเดินทางมาถึงเชียงใหม่แล้ว พญามังรายจึงได้สร้างวัดฝ่ายอรัญญวาสีเฉพาะพระลังกาขึ้นวัดหนึ่งต่างหากที่บริเวณป่าไผ่ ๑๑ กอ (สถานที่ซึ่งเรียกว่าวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรมในปัจจุบัน) ณ เชิงดอยสุเทพ
การสร้างวัดขึ้นบริเวณที่มีป่าไผ่จำนวน ๑๑ กอ ขึ้นนั้น พระองค์ประสงค์จะสร้างเป็นอนุสรณ์ในการอัญเชิญพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์มาประดิษฐานในล้านนาเป็นครั้งแรก จึงขอให้พระมหากัสสปเถระเป็นผู้วางแม่แบบอารามให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและประเพณีอันดีงามของชาวพุทธ โดยจัดแบ่งเป็นเขตพุทธาวาส (เช่น พระเจดีย์ พระอุโบสถ) และเขตสังฆาวาส (เช่น ศาลาแสดงธรรม กุฏิพระ โรงฉัน) พญามังรายมหาราชได้เป็นผู้อุปถัมภ์การสร้างวัดใหม่แห่งนี้ โดยยึดเอาแม่แบบการสร้างวัดของลังกา แม้พระเจดีย์ใหญ่อันเป็นหลักชัยของวัด ก็ทรงสร้างเป็นแบบพระเจดีย์ในลังกา คือเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ต่อมาในรัชสมัยของพญากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ได้ทรงบูรณะพระเจดีย์ขึ้นใหม่ด้วยการก่อผนังทับของเก่า พร้อมกับการสร้างอุโมงค์ถวายให้เป็นที่่พำนักของพระมหาเถรจันทร์ (พ.ศ. ๑๙๑๐ – ๑๙๓๐) เมื่อบูรณะปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว ทำการฉลองและทรงขนานนามว่า “วัดเวฬุกัฏฐาราม” หรือ “วัดไผ่ ๑๑ กอ”จากนั้นก็นิมนต์คณะสงฆ์ลังกาเข้ามาอยู่จำพรรษา เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมและเผยแผ่พระศาสนาต่อไป
หลังจากพญามังรายสวรรคต เพราะถูกฟ้าผ่าที่สี่แยกกลางเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา (พ.ศ. ๑๘๖๐) แล้ว กิจการพระศาสนาก็เริ่มถดถอยลง กษัตริย์ซึ่งเป็นรัชทายาทครองเมืองเชียงใหม่สมัยต่อมา เช่น พญาชัยสงคราม (พ.ศ. ๑๘๖๐-๑๘๘๑) พญาแสนภู (พ.ศ. ๑๘๘๑-๑๘๘๑) พญาคำฟู (พ.ศ. ๑๘๘๑-๑๘๙๗) ไปประทับอยู่เมืองเชียงรายและเชียงแสนเป็นส่วนใหญ่ คงตั้งพระโอรสที่เป็นรัชทายาทครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะมหาอุปราชเท่านั้นประการหนึ่ง และเพราะมัวแต่รบพุ่งชิงชัยแย่งราชบังลังก์ระหว่างเจ้าพี่ เจ้าน้อง เจ้าลุง เจ้าอา อีกประการหนึ่ง
ครั้นถึงสมัยพญาผายู (ประสูติที่เชียงใหม่ เป็นพระมหาอุปราชแล้วประทับอยู่ที่เชียงใหม่ตลอดพระชนม์ชีพ) เป็นกษัตริย์ครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๗ การพระศาสนาจึงค่อยเจริญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรม น้อมเอาธรรมเป็นเครื่องมือในการปกครองเมือง พระองค์ทรงโปรดให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาอภัยจุฬาเถระกับพระสงฆ์ ๑๐ รูปจากเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) มาเป็นพระสังฆราชครองวัดลีเชียงพระ (วัดพระสิงห์) ซึ่งทรงสร้างขึ้น พญาผายูปกครองบ้านเมืองและส่งเสริมพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองได้ประมาณ ๓๓ ปี ก็สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๓๐
หลังจากพญาผายูสวรรคตแล้ว เสนาอำมาตย์ทั้งหลายได้ไปอัญเชิญพญากือนาจากเมืองเชียงแสน (ที่ต้องไปอยู่เชียงแสนเพราะพระราชธิดาให้ไปครองเมืองตามธรรมเนียมรัชทายาท) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ ของราชวงศ์มังราย ครองเมืองเชียงใหม่ต่อไปตามประเพณีในปี พ.ศ. ๑๙๓๐ (เสวยราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐ พรรษา) เนื่องจากพญากือนาทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาวิชาการต่าง ๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ประการหนึ่ง ทรงเชี่ยวชาญในการปกครองบ้านเมืองสมัยปกครองเมืองเชียงแสนประการหนึ่ง ทรงมีพระทัยตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมเหมือนพระราชบิดาประการหนึ่ง ทรงสนพระทัยกิจการพระศาสนาตามพระบิดาเป็นอย่างมากประการหนึ่ง และทรงมีพระชนมายุอยู่ในวัยเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ประการหนึ่ง เมื่อเสวยราชย์แล้ว จึงทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว
ตลอดระยะ ๒๓ ปี (พ.ศ. ๑๙๓๐-๑๙๕๓) ที่พญากือนาธรรมมิกราชครองราชสมบัติ ได้ทรงจัดการปกครองบ้านเมืองอย่างดีเยี่ยม ข้าราชการผู้ใหญ่และราษฎรต่างเคารพรักพระองค์เป็นอันมาก พระองค์ทรงทุ่มเทเวลาทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างจริงจัง จนปรากฏว่าพระพุทธศาสนาในล้านนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคของพระองค์ งานพระศาสนางานแรกเมื่อทรงขึ้นเสวยราชย์ คือการส่งราชฑูตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพรบุปผาพระมหาเถระชาวรามัญ เชื้อสายลังกาวงศ์ ผู้แตกฉานพระธรรมวินัยที่เมืองเมาะตะมะ แต่พระมหาสวามีเจ้าไม่ยอมมา หากแต่ได้ส่งคณะศิษย์จำนวน ๑๐ รูป มีพระอานนท์ (พระอานนทเถระ) เป็นประธานมาแทน เมื่ิอมาถึงแล้วได้ทรงอาราธนาให้พำนักที่วัดโลกโมลี แล้วขอให้ทำพิธีกรรมสมมติสีมาและอุปสมบทกุลบุตร โดยมีพระมหาสุมนเถระและพระอโนมทัสสีเถระ พระเถระชาวสุโขทัยผู้เดินทางไปศึกษาปริยัติธรรมกับพระพระมหาสวามีอุทุมพรบุปผาที่เมาะตะมะ เป็นเวลา ๔ ปี เป็นผู้อุปสมบทกุลบุตรชาวล้านนา
เมื่อพญากือนาธรรมมิกราช ทรงทราบเช่นนั้นแล้ว ได้ตั้งให้หมื่นเงินกอง ๑ ปะขาวยอด ๑ ปะขายสาย ๑ รวม ๓ นาย เชิญราชสาส์นและเครื่องบรรณาการไปถวายพระมหาธรรมราชาลิไท กษัตริย์องค์ที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัย (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๙) เพื่ออาราธนาพระมหาสุมนเถระ วัดอัมพวัน (ภายหลังเรียกว่าวัดป่าแก้ว) ไปสืบพระศาสนาในล้านนา ขณะที่พระมหาสุมนเถระเดินทางจากสุโขทัยมายังเชียงใหม่ พญากือนาได้เสด็จไปคอยต้อนรับอยู่ที่วัดพระยืน เมืองลำพูน และได้ขอให้พระมหาสุมนเถระอุปสมบทกุลบุตรชาวลำพูน แล้วจึงอาราธนามาพักที่วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) ในเวียงเชียงใหม่ พระมหาสุมนเถระเป็นผู้ที่แตกฉานในคัมภีร์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีศีลวัตรน่าเลื่อมใส พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นพระมหาสวาทีบุพรัตนะ ผู้เป็นสังฆนายกของล้านนา พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมาครั้งหนึ่งในสมัยพญามังราย และได้เสื่อมถอยไปเกือบ ๗๐ ปีนั้น ได้กลับมาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกในสมัยของพญากือนา
หลังจากทรงอารธนาพระสุมนเถระ มาเผยแผ่พระศาสนาแล้ว พระองค์ได้หันไปบูรณะถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างเอาไว้ ได้แก่ การบูรณะวัดเวฬุกัฏฐาราม ซึ่งพญามังรายเป็นผู้สร้าง การบูรณะวัดเวฬุกัฏฐาราม (วัดไผ่ ๑๑ กอ) ทรงทำด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ทรงบูรณะองค์พระเจดีย์โดยการพอกปูนซ่อมแซมทับของเก่า โดยทรงรักษาทรงเดิมเอาไว้ทั้งหมด เมื่อทรงบูรณะพระเจดีย์ใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างอุโมงค์ใหญ่ใต้ฐานพระเจดีย์ด้านเหนือขึ้น มีทางเดินเข้าออกได้ ๔ ช่อง แต่ละช่องเดินติดต่อกันไปได้ทั่วถึง บริเวณข้างฝาผนังด้านในอุโมงค์เจาะช่องไว้สำหรับวางผางประทีปเพื่อให้เกิดแสงสว่าง สะดวกแก่การเดินจงกรมและนั่งภาวนาของพระภิกษุ เพดานอุโมงค์เขียนภาพต่าง ๆ ด้วยสีธรรมชาติตลอดทั้งแนวทางเดินในอุโมงค์ โดยช่างฝีมือที่ผสมผสานลวดลายศิลปะแบบจีนและล้านนา เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ได้ทรงขนาดนามวัดใหม่ว่าวัดอุโมงค์ ชื่อวัดอุโมงค์จึงปรากฏมาตั้งแต่ครั้งนั้น เหตุที่พญากือนาทรงสร้างอุโมงค์ใหญ่โตสวยงามและประณีตเป็นพิเศษ ก็ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงศรัทธาในพระมหาเถรชาวล้านนาผู้แตกฉานในคัมภีร์ มีปฏิภาณไหวพริบ สามารถตอบปัญหาธรรมได้อย่างลึกซึ้ง ผู้ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดอุโมงค์แห่งนี้ โดยมีนามว่าพระมหาเถรจันทร์